พบผลลัพธ์ทั้งหมด 298 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2489/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากเป็นการโต้แย้งดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการกำหนดโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยรวม 2 กระทง โดยเรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท รอการลงโทษไว้กระทงละ 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวทุก 3 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับ และไม่คุมความประพฤติจำเลย ดังนี้ เท่ากับศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินกระทงละ 1 ปีหรือปรับไม่เกินกระทงละ 10,000 บาท ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ และคุมความประพฤติจำเลย ซึ่งเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1315/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงและการแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นกักขัง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 20 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษกักขัง 20 วัน แทนโทษจำคุก เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาดุลพินิจในการวางโทษจำเลยขอศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1315/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นรอการลงโทษ เนื่องจากศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจำคุกเป็นกักขังเล็กน้อย เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 20 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษกักขัง 20 วัน แทนโทษจำคุก เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาดุลพินิจในการวางโทษจำเลยขอศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และแก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 6 เดือนและจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยรวม 38 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานนี้ รวม 34 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ส่วนความผิดที่เหลือ 4 กระทงวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้ว เช่นนี้ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 สำหรับความผิด ฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทง ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ว.พ.พ. กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนหรือแก้ไขเล็กน้อยในความผิดเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 3จำคุก 6 เดือนและจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยรวม 38 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานนี้ รวม 34 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ส่วนความผิดที่เหลือ 4 กระทงวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้ว เช่นนี้ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218 สำหรับความผิด ฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทง ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและ ลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4232/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้ามในความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกายืนตามศาลล่าง
ข้อหากระทงความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 แม้ฎีกาของโจทก์ร่วมจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยยังไม่มีเจตนากระทำความผิด เช่นนี้ ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ร่วมไม่ว่าจะมีข้อโต้แย้งประการใด ก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานบุกรุกแยกกระทงกันมา การพิจารณาสิทธิในการอุทธรณ์ต้องแยกพิจารณาเป็นรายกระทงความผิด ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง และการลดโทษโดยคำนึงถึงเหตุพิเศษ
คำอนุญาตให้ฎีกาของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นว่า 'จำเลยเป็นข้าราชการ มีปัญหาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายควรศาลสูงจะได้พิจารณา จึงรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ด้วย' นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นเห็นว่าฎีกาข้อใดเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นปัญหาสำคัญควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาต ให้ฎีกา จึงเป็นคำอนุญาตที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกท้องสำนวนว่าจำเลยมีเจตนาในการกระทำผิด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกไปจากที่ปรากฏในท้องสำนวน หากแต่ยกเอาถ้อยคำของพยานโจทก์และพยานจำเลยขึ้นมาประกอบเป็นข้อวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องจำเลยเห็นควรเชื่อตามพยานหลักฐานของจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมทั้งฎีกาของจำเลยที่ว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรให้รอการลงโทษให้แก่จำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกท้องสำนวนว่าจำเลยมีเจตนาในการกระทำผิด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกไปจากที่ปรากฏในท้องสำนวน หากแต่ยกเอาถ้อยคำของพยานโจทก์และพยานจำเลยขึ้นมาประกอบเป็นข้อวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องจำเลยเห็นควรเชื่อตามพยานหลักฐานของจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมทั้งฎีกาของจำเลยที่ว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรให้รอการลงโทษให้แก่จำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงและการแก้ไขโทษลดลง
คำอนุญาตให้ฎีกาของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นว่า 'จำเลยเป็นข้าราชการ มีปัญหาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายควรศาลสูงจะได้พิจารณา จึงรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้ด้วย' นั้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นเห็นว่าฎีกาข้อใดเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นปัญหาสำคัญควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา จึงเป็นคำอนุญาตที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกท้องสำนวนว่าจำเลยมีเจตนาในการกระทำผิด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกไปจากที่ปรากฏในท้องสำนวน หากแต่ยกเอาถ้อยคำของพยานโจทก์และพยานจำเลยขึ้นมาประกอบเป็นข้อวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องจำเลยเห็นควรเชื่อตามพยานหลักฐานของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมทั้งฎีกาของจำเลยที่ว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรให้รอการลงโทษให้แก่จำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกท้องสำนวนว่าจำเลยมีเจตนาในการกระทำผิด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกไปจากที่ปรากฏในท้องสำนวน หากแต่ยกเอาถ้อยคำของพยานโจทก์และพยานจำเลยขึ้นมาประกอบเป็นข้อวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องจำเลยเห็นควรเชื่อตามพยานหลักฐานของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมทั้งฎีกาของจำเลยที่ว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรให้รอการลงโทษให้แก่จำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2475/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนเงินส่วนแบ่งการขายที่ค้างชำระ ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.แรงงาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าจำเลยจ่ายเงินส่วนแบ่งการขายให้โจทก์ขาดไป 6,193.12 บาท ให้จำเลยจ่ายส่วนที่ขาดแก่โจทก์จนครบจำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้จ่ายเงินช่วยเหลือรวมทั้งเงินส่วนแบ่งการขายแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292-2293/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษา จำเลยฎีกาไม่ได้อุทธรณ์เรื่องข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา
คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 37,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.