คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทนาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 220 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2250/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่สมบูรณ์เมื่อจำเลยบางส่วนไม่มีทนาย และการตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มีทนาย แต่จำเลยที่ 1ไม่มีทนาย ฎีกาทำเป็นฉบับเดียว ลงชื่อทนายของจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ฎีกา จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีทนายไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้ฎีกาด้วย ฉะนั้น แม้ฎีกาฉบับนี้จะได้ระบุชื่อของจำเลยที่ 1 ไว้ในฎีกาหน้าแรกว่าเป็นผู้หนึ่งที่ขอยื่นฎีกาด้วยก็ตาม ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาของจำเลยที่1 ด้วย ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งห้า ซึ่งหมายรวมถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น จึงคลาดเคลื่อน ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 เท่านั้น ฎีกา
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) นั้นต้องเป็นการลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ แต่ตามฟ้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจผิดกฎหมายไขตู้โชว์แล้วลักเอาทรัพย์ไป ฉะนั้น แม้จะฟังข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ก็ไม่ใช่เป็นการลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไป ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำให้การโดยทนาย และการบังคับคดีขับไล่เฉพาะส่วนที่ฟ้องร้อง
จำเลยหรือทนายจำเลยไม่ได้ลงชื่อในฐานะจำเลยในคำให้การเป็นแต่ทนายจำเลยเซ็นชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ และเซ็นไว้ ว่า รอฟังคำสั่งอยู่ศาลชั้นต้นตรวจสั่งรับคำให้การไว้แล้ว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านศาลชั้นต้นสั่งไว้ในคำร้องอีกว่า พอถือได้ว่าทนายจำเลยได้ลงชื่อในคำให้การจำเลยโดยชอบแล้ว ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยอาศัยบ้านของโจทก์ แต่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่โจทก์เช่ามาด้วย โดยมิได้อ้างว่าจำเลยอาศัยที่ดินที่โจทก์เช่าแต่อย่างใด ดังนี้ ศาลจะบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำให้การโดยทนาย แม้ไม่มีลายมือชื่อจำเลย ศาลถือว่าชอบแล้ว และขอบเขตการฟ้องขับไล่ต้องชัดเจน
จำเลยหรือทนายจำเลยไม่ได้ลงชื่อในฐานะจำเลยในคำให้การเป็นแต่ทนายจำเลยเซ็นชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ และเซ็นไว้ ว่า รอฟังคำสั่งอยู่ ศาลชั้นต้นตรวจสั่งรับคำให้การไว้แล้ว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งไว้ในคำร้องอีกว่า พอถือได้ว่าทนายจำเลยได้ลงชื่อในคำให้การจำเลยโดยชอบแล้ว ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยอาศัยบ้านของโจทก์ แต่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่โจทก์เช่ามาด้วย โดยมิได้อ้างว่าจำเลยอาศัยที่ดินที่โจทก์เช่าแต่อย่างใด ดังนี้ ศาลจะบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายในการประนีประนอมยอมความ: การกระทำของทนายชอบด้วยอำนาจตามใบแต่งทนาย
จำเลยแต่งทนายความให้มีอำนาจในการประนีประนอมยอมความได้การที่ทนายจำเลยไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยชอบ ฎีกาของจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ข้อความในใบแต่งทนายไม่ถูกต้อง คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าทนายจำเลยไม่ได้ปรึกษากับจำเลยก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าศาลได้ดำเนินการพิจารณาโดยผิดระเบียบ ไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายประนีประนอม: สัญญาประนีประนอมชอบธรรมเมื่อทนายมีอำนาจตามใบแต่ง
จำเลยแต่งทนายความให้มีอำนาจในการประนีประนอมยอมความได้การที่ทนายจำเลยไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยชอบ ฎีกาของจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ข้อความในใบแต่งทนายไม่ถูกต้อง คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าทนายจำเลยไม่ได้ปรึกษากับจำเลยก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าศาลได้ดำเนินการพิจารณาโดยผิดระเบียบ ไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องร้องและการถอนฟ้องของเด็กผู้เยาว์ที่แต่งทนายเอง ผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจจำกัด
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์ ลงชื่อแต่งทนายให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและอุทธรณ์ฎีกามาโดยลำพังไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทนอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ร่วม ย่อมเป็นอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่ชอบ
คำแจ้งความที่เพียงแต่แจ้งให้พนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานมิได้ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลย ย่อมไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย
คำให้การของผู้เสียหายที่พนักงานสอบสวนได้จดบันทึกไว้ในตอนท้าย มีข้อความว่า "ในวันนี้....ทางข้าฯ และมารดาข้าฯ จึงมาร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวน สน.พญาไทดำเนินคดีกับนายเอสวูดดี้ในข้อหากระทำอนาจาร ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(7), 123 แล้ว
เมื่อผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาและบิดายังมีชีวิตอยู่มารดาของผู้เยาว์จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ จึงไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์แทนผู้เยาว์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการไม่รับทนายศาลและการดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปได้
วันรับฟ้อง ศาลสอบถามคำให้การจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธศาลสอบถามจำเลยถึงเรื่องทนายด้วย จำเลยแถลงว่าจะหาทนายสู้คดีเองการที่จำเลยแถลงเช่นนี้เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยไม่ต้องการให้ศาลตั้งทนายให้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยไม่มีทนายและจำเลยไม่ต้องการให้ศาลตั้งทนายให้ เช่นนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะตั้งทนายให้จำเลย แม้ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยในเวลาต่อมา จำเลยจะมิได้ตั้งทนายก็ตาม ศาลย่อมดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ถือว่าการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นเป็นการชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการเลือกทนาย และหน้าที่ศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173
วันรับฟ้อง ศาลสอบถามคำให้การจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธศาลสอบถามจำเลยถึงเรื่องทนายด้วย จำเลยแถลงว่าจะหาทนายสู้คดีเองการที่จำเลยแถลงเช่นนี้เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยไม่ต้องการให้ศาลตั้งทนายให้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยไม่มีทนาย.และจำเลยไม่ต้องการให้ศาลตั้งทนายให้ เช่นนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะตั้งทนายให้จำเลย แม้ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยในเวลาต่อมา จำเลยจะมิได้ตั้งทนายก็ตาม ศาลย่อมดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ถือว่าการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นเป็นการชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากทนาย โดยอ้างเหตุสัญญาเป็นโมฆะ หากศาลล่างวินิจฉัยว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ ฟ้องนั้นย่อมตกไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้ว ได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้นจึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะจึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นฟ้องเรียกค่าจ้างคืนจากทนายโดยอ้างสัญญาเป็นโมฆะ หากศาลล่างวินิจฉัยสัญญาไม่เป็นโมฆะ ฟ้องย่อมตกไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้วได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญ เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้น จึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ จึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)
of 22