พบผลลัพธ์ทั้งหมด 225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากสินสมรสหลังบอกล้างสัญญาค้ำประกัน: ต้องแยกสินส่วนตัวก่อนยึด
เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นสามีได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทำไว้กับโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้สัญญาค้ำประกันนั้นในส่วนที่ผูกพันสินบริคณห์ตกเป็นโมฆะ แต่ยังสมบูรณ์อยู่เฉพาะในส่วนที่ผูกพันสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โจทก์จะต้องบังคับชำระเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 หากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่มี หรือมีไม่พอ และโจทก์ประสงค์จะบังคับชำระหนี้เอาจากส่วนของจำเลยที่ 2 ในสินบริคณห์ โจทก์ต้องร้องต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องเสียก่อน แล้วจึงนำยึดส่วนของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้ โจทก์จะนำยึดสินบริคณห์ก่อนขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์สูญหาย: ข้อสัญญาบังคับชำระหนี้ได้หากไม่ขัดต่อกฎหมาย
ข้อสัญญาในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ว่า แม้รถสูญหายโดยเหตุสุดวิสัย ผู้เช่าซื้อก็จะชำระค่าเช่าซื้อจนครบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและการไม่เป็นผู้เสียหาย: โจทก์ไม่เสียหายจากการแจ้งความเท็จ เพราะยังมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากเช็ค
ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองแม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นก็ตาม
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อ ให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อ ให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่ เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อ ให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อ ให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่ เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2931/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ค้ำประกัน: บังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ก่อน หากลูกหนี้มีทรัพย์และชำระได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้. และการบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการยาก โจทก์เองก็ไม่คัดค้านว่า จำเลยที่ 1ไม่มีทรัพย์ ทั้งยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไปขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1การที่จำเลยที่ 2 ไม่ สามารถจัดการขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้หาทำให้โจทก์ข้ามการบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 1 มาบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2931/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 689: บังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้. และการบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการยาก โจทก์เองก็ไม่คัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ ทั้งยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไปขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1การที่จำเลยที่ 2 ไม่สามารถจัดการขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้หาทำให้โจทก์ข้ามการบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 1 มาบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากกองมรดก: โอนโฉนดรับมรดกไม่ทำให้ทรัพย์พ้นจากหนี้สินของผู้ตาย
โฉนดที่พิพาทมีชื่อ พ. เจ้ามรดกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ และ พ. ได้มอบให้เจ้าหนี้ยึดไว้เป็นประกันเงินกู้ต่อมา พ. ตาย ผู้ร้องและจำเลยได้ไปขอออกโฉนดใหม่ใส่ชื่อผู้ร้องและจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในใบแทนโฉนด ดังนี้ ไม่ทำให้ที่พิพาทนั้นพ้นจากสภาพเป็นทรัพย์ในกองมรดกของ พ.ที่จะต้องรับผิดต่อหนี้สินของพ.ที่จะต้องชำระให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาล ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนได้ในกองมรดกจนกว่าจะได้จัดการชำระหนี้สินของ พ. ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของร่วมมรดกและการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินร่วม ศาลยืนยึดสิทธิเจ้าหนี้
ผู้ตายถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกสวนของตนให้แก่ผู้ใดไว้ สวนจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทุกคน
ครอบครัวของจำเลยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันกับผู้ร้อง จำเลยแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีส่วนเป็นเจ้าของสวนยางพารารายนี้เช่น เป็นผู้นำสำรวจที่ดินสวนยางพารานี้เพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่และเป็นผู้ไปเสียภาษีบำรุงท้องที่เอง ทั้งได้ไปแจ้งใบสุทธิยางผู้ร้องรับว่าสวนยางพารายังมิได้แบ่งปันกันในระหว่างทายาท ฉะนั้นจำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยผู้หนึ่ง จึงมีสิทธิเป็นเจ้าของสวนยางพารารวมอยู่ด้วย
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา จึงมีสิทธิที่จะยึดสวนยางพาราซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของรวมบางส่วนเพื่อบังคับชำระหนี้ได้
ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์มีสิทธิจะยึดที่ดินแปลงใดของจำเลยตามคำพิพากษามาบังคับชำระหนี้ก็ได้เพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โดยสิ้นเชิง
ครอบครัวของจำเลยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันกับผู้ร้อง จำเลยแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีส่วนเป็นเจ้าของสวนยางพารารายนี้เช่น เป็นผู้นำสำรวจที่ดินสวนยางพารานี้เพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่และเป็นผู้ไปเสียภาษีบำรุงท้องที่เอง ทั้งได้ไปแจ้งใบสุทธิยางผู้ร้องรับว่าสวนยางพารายังมิได้แบ่งปันกันในระหว่างทายาท ฉะนั้นจำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยผู้หนึ่ง จึงมีสิทธิเป็นเจ้าของสวนยางพารารวมอยู่ด้วย
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา จึงมีสิทธิที่จะยึดสวนยางพาราซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของรวมบางส่วนเพื่อบังคับชำระหนี้ได้
ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์มีสิทธิจะยึดที่ดินแปลงใดของจำเลยตามคำพิพากษามาบังคับชำระหนี้ก็ได้เพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โดยสิ้นเชิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของร่วมมรดกและการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินรวม เจ้าของร่วมไม่มีอำนาจขัดทรัพย์
ผู้ตายถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกสวนของตนให้แก่ผู้ใดไว้ สวนจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทุกคน
ครอบครัวของจำเลยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันกับผู้ร้อง จำเลยแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีส่วนเป็นเจ้าของสวนยางพารารายนี้เช่น เป็นผู้นำสำรวจที่ดินสวนยางพารานี้เพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ และเป็นผู้ไปเสียภาษีบำรุงท้องที่เอง ทั้งได้ไปแจ้งใบสุทธิยางผู้ร้องรับว่าสวนยางพารายังมิได้แบ่งปันกันในระหว่างทายาท ฉะนั้น จำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยผู้หนึ่ง จึงมีสิทธิเป็นเจ้าของสวนยางพารารวมอยู่ด้วย
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา จึงมีสิทธิที่จะยึดสวนยางพาราซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของรวมบางส่วนเพื่อบังคับชำระหนี้ได้
ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์มีสิทธิจะยึดที่ดินแปลงใดของจำเลยตามคำพิพากษามาบังคับชำระหนี้ก็ได้เพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โดยสิ้นเชิง
ครอบครัวของจำเลยอยู่ร่วมเรือนเดียวกันกับผู้ร้อง จำเลยแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีส่วนเป็นเจ้าของสวนยางพารารายนี้เช่น เป็นผู้นำสำรวจที่ดินสวนยางพารานี้เพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ และเป็นผู้ไปเสียภาษีบำรุงท้องที่เอง ทั้งได้ไปแจ้งใบสุทธิยางผู้ร้องรับว่าสวนยางพารายังมิได้แบ่งปันกันในระหว่างทายาท ฉะนั้น จำเลยซึ่งเป็นทายาทด้วยผู้หนึ่ง จึงมีสิทธิเป็นเจ้าของสวนยางพารารวมอยู่ด้วย
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา จึงมีสิทธิที่จะยึดสวนยางพาราซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของรวมบางส่วนเพื่อบังคับชำระหนี้ได้
ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์มีสิทธิจะยึดที่ดินแปลงใดของจำเลยตามคำพิพากษามาบังคับชำระหนี้ก็ได้เพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โดยสิ้นเชิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกัน: ต้องบังคับจากลูกหนี้ชั้นต้นก่อน หากพิสูจน์ได้ว่ามีทรัพย์สิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน มีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ใช้แทนจนครบ โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 838/2494) ดังนั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ก็จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ และการบังคับชำระหนี้นั้นจะต้องไม่เป็นการยากด้วย (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 980/2513)
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกัน: ต้องบังคับทรัพย์สินลูกหนี้ชั้นต้นก่อน และพิสูจน์ทรัพย์สินลูกหนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน มีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ใช้แทนจนครบ โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 838/2494) ดังนั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ก็จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ และการบังคับชำระหนี้นั้นจะต้องไม่เป็นการยากด้วย (วินิจฉัยตามแนวฎีกาที่ 980/2513)
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว
โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 3 จึงยื่นคำร้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นมีที่ดิน 2 แปลง แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 โดยเห็นว่า โจทก์มีสิทธิเลือกบังคับจากจำเลยคนใดก็ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินดังกล่าวอ้างอันจะบังคับชำระหนี้ให้โจทก์ได้หรือไม่ จึงควรที่ศาลชั้นต้นจะได้ดำเนินการไต่สวนในเรื่องทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้เป็นที่ยุติเสียก่อน ไม่ควรให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปได้ทีเดียว