คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 160 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจรกรรมเดียว: การฟ้องซ้ำเป็นเหตุระงับความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คนร้ายลักทรัพย์สองเจ้าของ และจำเลยได้รับทรัพย์ที่ถูกลักทั้งสองเจ้าของนั้นไว้ โดยโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางนั้นไว้ต่างคราวต่างวาระกันได้ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองรายนั้นไว้ในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นการกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดี คดีแรกจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานรับของโจรเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีหลังอีก เพราะความผิดของจำเลยเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการมีทนายความ - การพิจารณาคดีอาญาที่มิชอบ - ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๘(๒)
คดีอาญาที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สอบถามจำเลยในเรื่องทนายความ และพิพากษาลงโทษจำคุก ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดี ย่อมเป็นการจำเป็นที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุสถานที่เกิดเหตุในคำฟ้องอาญา เพียงกล่าวพอสมควรให้จำเลยเข้าใจได้ ถือเพียงพอแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำว่า สถานที่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) นั้น หมายถึงสถานที่ที่เกิดกระทำผิด หาได้กำหนดไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องระบุว่าอยู่หมู่ใดตำบลใด เสมอไปไม่ เพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว คดีนี้ราษฎรเป็นโจทก์ ในคำฟ้องระบุว่าโจทก์จำเลยต่างอยู่บ้านใกล้เคียงบ้านหนองแก ตำบลยางหล่อ อำเภอหนองบัวลำภูจังหวัดอุดรธานี เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจเข้าไปในบ้านโจทก์ แม้จะไม่ลงว่าบ้านโจทก์ตั้งอยู่ที่ตำบล อำเภอ และจังหวัดใดก็ดีจำเลยก็ย่อมเข้าใจข้อหาได้ดีว่า การกระทำผิดเกิด ณ สถานที่ใด เพราะโจทก์จำเลยเป็นคนอยู่ในละแวกหมู่บ้านเดียวกันถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดราคาทรัพย์ในคดีลักทรัพย์ที่ไม่สามารถระบุราคาอันแท้จริงได้
คดีอาญาซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่เจ้าทรัพย์ หากปรากฏว่าผู้เสียหายเบิกความว่าราคาทรัพย์เกือบสองพันบาท ซึ่งเป็นการไม่แน่นอน โดยไม่สามารถกำหนดราคาอันแท้จริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 47 แล้ว ดังนี้ ศาลจึงไม่ต้องกำหนดราคาทรัพย์นั้น ซึ่งจำเลยจะต้องใช้ให้แก่เจ้าทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในความผิดกรรมเดียว แม้ทรัพย์สินต่างเจ้าของ ศาลยกฟ้องตามมาตรา 39(4) พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญา
จำเลยลักทรัพย์หลายสิ่งหลายเจ้าของอยู่ในเรือลำเดียวกันและจำเลยลักไปในคราวเดียวกันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าลักทรัพย์ของเจ้าของหนึ่ง ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยจนคดีถึงที่สุดแล้วสิทธิที่นำคดีมาฟ้องจำเลยในการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นกรรมเดียวกันนั้นจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยหาว่าลักทรัพย์ของอีกเจ้าของหนึ่งซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันเวลาเกิดเหตุเป็นสาระสำคัญ หากต่างจากฟ้อง ย่อมยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ฟ้องว่า เกิดเหตุวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงซึ่งหมายความว่าเหตุเกิดหลัง 24 น ของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2507 ไปแล้วจนถึง 6.00 น.ของวันที่ 13ฯ
ทางพิจารณาพยานโจทก์เบิกความว่าเหตุเกิดเวลาใกล้สว่างของวันแรม 15 ค่ำ เดือน 3 แต่เดือน 3 เป็นเดือนขาด มีเพียงแรม 14 ค่ำฉะนั้น ที่พยานโจทก์เบิกความเช่นนี้จึงหมายความว่าเหตุเกิดเวลาใกล้สว่างของวันขึ้น1 ค่ำเดือน 4 ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงนั่นเอง
วันเกิดเหตุเป็นสารสำคัญแห่งคดีเมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องดังกล่าวแล้วก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 (อ้างฎีกาที่ 967/2501)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนคดีระหว่างศาล: ดุลพินิจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.23 และเหตุผลแห่งการโอน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 23 วรรค 2 นั้นการโอนคดีไปชำระยังศาลอื่น กฎหมายให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี และเหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 626/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างบทกฎหมายผิดทั้งฉบับขัดต่อหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการตีความข้อยกเว้น
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3 วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "พนักงาน"ไว้ให้หมายถึง บุคคลต่างๆตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้นอกจากผู้เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมาย และพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 มาตรา 18 บัญญัติให้พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา ฉะนั้น จึงนำพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาใช้บังคับลงโทษจำเลยซึ่งเป็นพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192 วรรคสี่ แต่เป็นการอ้างกฎหมายผิดทั้งฉบับ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตามมาตรา 192 วรรคต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326-327/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจควบคุมผู้ต้องหาในคดีคอมมิวนิสต์: ประกาศ คปค.ฉบับที่ 12 ต้องเป็นไปตามหลัก 'จำเป็น' ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 12 ให้อำนาจควบคุมผู้ต้องหาในกรณีกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ฯ ได้เท่าที่จำเป็นแก่การสอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่ให้ควบคุมโดยไม่มีกำหนด
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 วางหลักเป็นประกันเสรีภาพของประชาชนไว้ 2 ตอน ตอนต้นว่า จะควบคุมตัวผู้ต้องหาเกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่ได้ ตอนที่สองว่า ความจำเป็นดังกล่าวจะจำเป็นเพียงใดก็ตาม ก็จะควบคุมเกินกว่ากำหนดเวลาดังบัญญัติไว้ไม่ได้
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 12 เป็นการแก้ไขและขยายระยะเวลาคั่นสูงดังกำหนดไว้ในมาตรา 87 ไม่ได้ยกเลิกหลักใหญ่ของมาตรานี้ที่ให้ ควบคุมผู้ต้องหาได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเกินกรอบข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในกรณีที่ศาลแขวงวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำการเรี่ยไรตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้องและสั่งไม่ริบเงินของกลางโดยไม่ฟังว่าได้มาจากการทำผิดนั้น โจทก์อุทธรณืเฉพาะให้ริบเงินของกลาง ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ให้ริบเงินของกลางโดยถือว่าเป็นของได้มาจากการทำผิดไม่ได้เพราะเท่ากับเป็นการฟังข้อเท็จจริงใหม่ ผิดจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
of 16