พบผลลัพธ์ทั้งหมด 188 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: โต้แย้งดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกง
การฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอไต่สวนสถานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย ศาลไม่ชี้ขาดเบื้องต้นได้
คำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนว่า ผู้คัดค้านไม่ได้เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก และเมื่อไต่สวนได้ความดังกล่าวแล้ว ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านนั้นเป็นคำร้องที่เกี่ยวกับปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่คำร้องที่ยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้าง ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหานั้นก่อนดำเนินการพิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 วรรคแรก
ส่วนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของผู้ร้องว่าต้องฟังพยานหลักฐานก่อน ให้ยกคำร้องก็หาใช่คำวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอันจะทำให้คดีเสร็จไปได้ทั้งเรื่องหรือเฉพาะแต่ประเด็นแห่งคดีบางข้อตามมาตรา 24 วรรคสอง ไม่ หาเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งผู้ร้องจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาหาได้ไม่
ส่วนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของผู้ร้องว่าต้องฟังพยานหลักฐานก่อน ให้ยกคำร้องก็หาใช่คำวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอันจะทำให้คดีเสร็จไปได้ทั้งเรื่องหรือเฉพาะแต่ประเด็นแห่งคดีบางข้อตามมาตรา 24 วรรคสอง ไม่ หาเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งผู้ร้องจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์คดีอาญาในศาลแขวง: ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและการอุทธรณ์นอกประเด็น
ในกรณีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง โจทก์ย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษานั้นในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22
อุทธรณ์ว่าออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันการเบิกเงินล่วงหน้าตามสัญญา มิได้ออกให้เพื่อการอย่างอื่น เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อุทธรณ์คัดค้านในข้อที่ศาลชั้นต้นมิได้ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นผลอย่างไรแก่คดีนั้นเป็นอุทธรณ์คัดค้านที่นอกประเด็น ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณา
อุทธรณ์ว่าออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันการเบิกเงินล่วงหน้าตามสัญญา มิได้ออกให้เพื่อการอย่างอื่น เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อุทธรณ์คัดค้านในข้อที่ศาลชั้นต้นมิได้ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นผลอย่างไรแก่คดีนั้นเป็นอุทธรณ์คัดค้านที่นอกประเด็น ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์ดุลพินิจศาลสั่งส่งตัวเด็กไปสถานฝึกอบรม ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
จำเลยอายุไม่เกิน 17 ปี กระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกยังสถานฝึกอบรมเด็กและเยาวชนจนกว่าจะมีอายุ 18 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจะฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลที่ให้ส่งตัวจำเลยไปยังสถานฝึกอบรมนั้นไม่ได้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เพราะการที่ศาลสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปยังสถานฝึกอบรมเด็กและเยาวชนนั้นไม่ใช่การลงโทษแต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งตัวเด็กและเยาวชนเข้าสถานฝึกอบรมไม่ใช่การลงโทษ จึงห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยอายุไม่เกิน 17 ปี กระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335. ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกยังสถานฝึกอบรมเด็กและเยาวชนจนกว่าจะมีอายุ 18 ปี.ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน. จำเลยจะฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลที่ให้ส่งตัวจำเลยไปยังสถานฝึกอบรมนั้นไม่ได้. เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218. เพราะการที่ศาลสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปยังสถานฝึกอบรมเด็กและเยาวชนนั้น.ไม่ใช่การลงโทษ. แต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ดุลพินิจศาลในการรอการลงโทษคดีอาวุธปืน การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโทษเป็นเรื่องต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยลดโทษให้กึ่งหนึ่งฐานรับสารภาพ. ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษดังกล่าวไว้มีกำหนด 3 ปี. กรณีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 74/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตเป็นปัญหาข้อเท็จจริงในคดีเบียดบังเงิน
ปัญหาที่ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตกระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง.
(อ้างฎีกาที่ 457/2489)
(อ้างฎีกาที่ 457/2489)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: จำเลยยกเหตุใหม่ในชั้นฎีกาเข้าข่ายปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้คืน จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ต่อสู้แต่ว่ากู้เพียง 3,000 บาทที่เขียนสัญญาเป็น 3,200 บาท โดยโจทก์คิดเอาดอกเบี้ยรวมเข้าไปด้วยแต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้มอบทรัพย์สินที่กู้ยืม สัญญากู้จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมาย ฯลฯ เป็นโมฆะเป็นฎีกาที่จำเลยตั้งข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ให้เข้าข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์ต้องชัดแจ้ง การสั่งรับเป็นฟ้องอุทธรณ์ทั่วไป ไม่ถือเป็นการรับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
การรับรองอุทธรณ์ว่า มีเหตุอันสมควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้นั้น ต้องเป็นการรับรองโดยชัดแจ้ง ฉะนั้น คำสั่งของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์เพียงว่า "ให้รับเป็นฟ้องอุทธรณ์" เฉยๆ เท่านั้น ย่อมไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษปรับเล็กน้อยโดยศาลอุทธรณ์ ไม่ถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ฎีกาแก้ไขได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงินคนละ 36,068 บาท บังคับค่าปรับตามมาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังคนละ 2 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น แต่พิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยทั้งสามเป็นเงิน 36,068 บาท โดยแยกเรียงตัวคนละ 12,022 บาท 66 สตางค์ ไม่ชำระค่าปรับ จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 หากต้องกักขังแทนให้กักขังคนละ 8 เดือน ดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218