พบผลลัพธ์ทั้งหมด 558 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3459/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยสถานะ 'บริวาร' และองค์คณะผู้พิพากษาในการออกคำสั่ง
ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาที่อ้างว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของโจทก์โดยผู้พิพากษานายเดียวเป็นผู้ลงนามในคำสั่งนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา23เพราะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษานายเดียวที่จะออกคำสั่งได้ตามมาตรา21(2)อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่มีผู้พิพากษาครบองค์คณะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะผู้ทรงเช็คพิพาทและการวินิจฉัยนอกเหนือคำให้การเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ข้อเท็จจริงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทและมิได้รับโอนมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ดังนี้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า ว. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทหาได้ไม่เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำให้การของจำเลยและเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหาการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำให้การและการวินิจฉัยในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกาศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นข้อพิพาทใหม่ไม่เหมือนเดิม แม้จะอ้างเอกสารเดียวกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถูกต้อง
โจทก์และจำเลยคดีนี้เป็น คู่ความเดียวกันกับโจทก์และจำเลยในคดีก่อนแต่ในคดีก่อนศาลชั้นต้น กำหนดประเด็นข้อพิพาทและวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนการขายฝากภายในระยะเวลาหรือไม่ส่วนคดีนี้ประเด็นในคดีมีว่าบันทึกที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ทำขึ้นเป็นคำมั่นไว้ว่าถ้าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบตามจำนวนหนี้จำเลยยินยอมโอนที่พิพาทคืนแก่โจทก์นั้นจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่อันมิใช่ประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีก่อนแม้คดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวอ้างถึงบันทึกดังกล่าวแต่ศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และแม้โจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาว่าบันทึกดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำมั่นจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ด้วยแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1ก็ไม่รับวินิจฉัยให้เนื่องจากเห็นว่าปัญหาดังกล่าวมิได้กำหนดเป็น ประเด็นข้อพิพาทมาแต่ศาลชั้นต้นดังนั้นประเด็นในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลคดีนี้จึง ไม่เป็น ฟ้องซ้ำ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าคดีนี้ ไม่เป็น ฟ้องซ้ำแต่พิพากษากลับนั้นยังไม่ถูกต้องต้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยไว้
ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำขอฟ้องแย้งไม่สามารถบังคับได้จึงไม่รับฟ้องแย้งดังนี้หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งมิใช่ฟ้องแย้งที่ไม่อาจบังคับได้ก็ชอบที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมเพื่อรับฟ้องแย้งได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและมีคำขอบังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทให้จำเลยเป็นผู้ได้สิทธิครอบครองเป็นคำฟ้องที่มีคำขอบังคับโจทก์โดยครบถ้วนแล้วส่วนการที่จะบังคับตามฟ้องแย้งได้หรือไม่จึงชอบที่จะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อไปในชั้นชี้ขาดตัดสินคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพราะขาดประโยชน์จากค่าเช่าในบ้านพิพาทให้แก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท บ้านพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท คู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา248 วรรคสอง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท และโจทก์ได้รับความเสียหายถึงเดือนละ 30,000 บาท เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาล
โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสามในราคา 2,500,000 บาท แต่ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองชำระค่าที่ดินให้โจทก์ทั้งสามเพียง 1,000,000บาท ยังค้างชำระ 1,500,000 บาท โจทก์ทั้งสามทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างหรือไม่ เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง-จำเลยทั้งสอง
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นประเด็นในคดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรและด้วยเหตุผลใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลนำลายมือชื่อในเอกสารพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในเอกสารฉบับอื่นที่มีอยู่ในสำนวนกับที่คู่ความได้อ้างมาเป็นพยานในคดีนี้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้รู้เห็นเองและเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลย่อมมีอำนาจกระทำได้
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นประเด็นในคดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรและด้วยเหตุผลใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลนำลายมือชื่อในเอกสารพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในเอกสารฉบับอื่นที่มีอยู่ในสำนวนกับที่คู่ความได้อ้างมาเป็นพยานในคดีนี้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้รู้เห็นเองและเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลย่อมมีอำนาจกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องเท่านั้น
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม และคำขอบังคับท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้พิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมโจทก์เพียงแต่ขอให้จำเลยทั้งสองถอนเสาไม้แก่นและต้นมะพร้าวที่จำเลยทั้งสองนำมาปลูกและปักเอาไว้ทั้งหมดออกไปให้พ้นจากช่องทางเข้าออกบ้านโจทก์และทำที่ดินตรงนั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย คดีจึงไม่มีประเด็นว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2381/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการลงชื่อฟ้องคดี และอำนาจศาลในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้น
โจทก์มอบอำนาจให้ น.ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คตามฟ้องทั้งสามฉบับ น.ผู้รับมอบอำนาจย่อมมีอำนาจตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60 วรรคสอง เมื่อ น.แต่งให้ อ.เป็นทนายความ และทนายความที่คู่ความได้ตั้งแต่งนี้ ป.วิ.พ. มาตรา 62 บัญญัติให้มีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควร ซึ่งการยื่นฟ้องคดีต่อศาลก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนพิจารณา ทนายความที่คู่ความตั้งแต่งจึงมีอำนาจลงชื่อในคำฟ้องได้ และการลงชื่อในคำฟ้องของทนายความนี้ หาได้มีบทบัญญัติให้ต้องมีข้อความในคำฟ้องว่าเป็นการลงชื่อแทนคู่ความหรือในฐานะทนายความแต่อย่างใด
การที่คู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 24 มิได้บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะในกรณีที่ศาลเห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดนั้นเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ยกข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอเท่านั้น แม้ศาลจะเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นคุณแก่คู่ความตามที่มีคำขอ ศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่คู่ความนั้นได้
โจทก์เอาดอกเบี้ยเกินอัตรารวมไว้ในเช็คหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและมิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาในศาลอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบตามป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
การที่คู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 24 มิได้บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะในกรณีที่ศาลเห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดนั้นเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ยกข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอเท่านั้น แม้ศาลจะเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นคุณแก่คู่ความตามที่มีคำขอ ศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่คู่ความนั้นได้
โจทก์เอาดอกเบี้ยเกินอัตรารวมไว้ในเช็คหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและมิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาในศาลอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบตามป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลวินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่า ว. คนขับรถยนต์ของโจทก์ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนกับรถที่จำเลยขับด้วยหรือไม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งให้นำบทบัญญัติ มาตรา 223 มาใช้โดยอนุโลม เมื่อเหตุที่เกิดรถชนกันทำให้ รถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเพราะ ว. ประมาทเลินเล่อด้วยซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย แม้ศาลมิได้ กำหนดประเด็นไว้ว่าว.คนขับรถยนต์ของโจทก์ประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลวินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่และค่าเสียหายมีเพียงใดศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าว. คนขับรถยนต์ของโจทก์ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนกับรถที่จำเลยขับด้วยหรือไม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา443ซึ่งให้นำบทบัญญัติมาตรา223มาใช้โดยอนุโลมเมื่อเหตุที่เกิดรถชนกันทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเพราะว. ประมาทเลินเล่อด้วยซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยแม้ศาลมิได้กำหนดประเด็นไว้ว่าว.คนขับรถยนต์ของโจทก์ประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น