พบผลลัพธ์ทั้งหมด 196 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2465/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเรือจากการใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 32 (2) (4)ให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศกำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดและกำหนดวิธีใช้เครื่องมือทำการประมงต่าง ๆ เมื่อรัฐมนตรีได้ประกาศกำหนดเครื่องมือทำการประมงโดยห้ามมิให้ใช้เครื่องมืออวนลากชนิดมีถุงและเครื่องมืออวนรุนหรืออวนถุงทุกขนาดที่ใช้เรือยนต์ทุกชนิดทำการประมงในเขตหรือรัศมีที่ระบุไว้ในการจับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดเรือยนต์ของกลางที่ใช้ทำการประมงในเขตดังกล่าวที่ใช้กับอวนรุนชนิดมีถุงจึงเป็นเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามใช้ตามมาตรา 32 (2)และ 70 จึงต้องริบตามมาตรา 70 กรณีหาอยู่ในบังคับของมาตรา 69แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 2พ.ศ. 2496 มาตรา 10 ที่ให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ให้เงินภายหลังสร้างเสร็จเป็นเงินกินเปล่า ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
ข้อกฎหมายที่ยกขึ้นฎีกา ต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
เงินที่จำเลยให้แก่เจ้าของตึกที่พิพาทเดิมตอนรับโอนสิทธิการเช่าหลังจากตึกที่พิพาทสร้างเสร็จแล้ว มีลักษณะเป็นเงินกินเปล่า หาใช่สัญญาต่างตอบแทนไม่
เงินที่จำเลยให้แก่เจ้าของตึกที่พิพาทเดิมตอนรับโอนสิทธิการเช่าหลังจากตึกที่พิพาทสร้างเสร็จแล้ว มีลักษณะเป็นเงินกินเปล่า หาใช่สัญญาต่างตอบแทนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการขุดแร่ในที่ดินประทานบัตร ศาลยืนตามผลคำพิพากษาเดิมที่ให้ชดใช้ค่าเสียหายรายเดือน
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสองดำเนินการขุดหาแร่ในที่ดินประทานบัตรที่พิพาทถ้าจำเลยยังขุดหาแร่ต่อไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาท นับแต่วันพิพาทจนกว่าจะหยุดดำเนินการ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,202,000 บาท และห้ามจำเลยขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรพิพาททั้ง 5 แปลงต่อไป นอกจากที่ดำเนินการอยู่แล้วใน 4 รางดังกล่าว และศาลฎีกาพิพากษายืนนั้น ย่อมอนุมานได้ว่าศาลอุทธรณ์มิได้ประสงค์จะพิพากษาให้จำเลยขุดแร่ใน 4 รางนั้นโดยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เมื่อจำเลยยังดำเนินการขุดแร่ต่อไปเพราะโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจำต้องชดใช้ค่าทดแทน ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาทด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบปล้นทรัพย์ด้วยการขู่เข็ญด้วยมีด ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยกับพวกสามคนได้สมคบกันลักไก่ของผู้เสียหายไปเมื่อผู้เสียหายกับพวกไล่ตามไป พวกจำเลยได้ชักมีดออกขู่ไม่ให้ตามการกระทำของจำเลยกับพวกจึงเข้าเกณฑ์เป็นการปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1326/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาททั้งสองฝ่ายทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด รถก็จะไม่ชนกันส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ถ้ารอให้รถของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับมาทางตรงผ่านไปก่อน รถก็จะไม่ชนกันการที่เกิดชนกันขึ้นจึงเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยทั้วสองที่ไม่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของกฎหมาย จึงเป็นความผิดด้วยกันทั้งคู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารราชการปลอมและแจ้งความเท็จ ศาลยืนตามคำพิพากษาลดโทษและรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา268,265 ให้จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 เหลือโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือนและให้รอการลงโทษตามมาตรา 56 มีกำหนด 3 ปี ดังนี้เป็นการแก้ไขมาก คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความ: ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลล่าง แม้จำเลยอ้างประเด็นไม่ตรง
ศาลล่างพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางที่ตกอยู่ในการจำยอม จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์ไม่ตกอยู่ในที่ล้อม ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางจำเป็น จึงเป็นฎีกาที่ไม่ตรงประเด็น ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย
โจทก์อ้างข้อตกลงอันเป็นมูลเดิมแล้วฟ้องว่าทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของข้อตกลง
โจทก์ฟ้องจำเลยในกรณีละเมิดปักเสารุกล้ำ กั้นรั้วปิดทางเดิน แล้วเรียกค่าเสียหาย แม้ไม่ได้กล่าวว่าเสียหายอะไรไปเท่าใด กฎหมายก็บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยให้ค่าเสียหายตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ดินจำเลยตรงทางเดินรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอม ซึ่งโจทก์ใช้เป็นทางเดินมากว่า 10 ปี ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทางรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านหรือไม่ มิได้อยู่ที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใดหรือไม่
โจทก์อ้างข้อตกลงอันเป็นมูลเดิมแล้วฟ้องว่าทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของข้อตกลง
โจทก์ฟ้องจำเลยในกรณีละเมิดปักเสารุกล้ำ กั้นรั้วปิดทางเดิน แล้วเรียกค่าเสียหาย แม้ไม่ได้กล่าวว่าเสียหายอะไรไปเท่าใด กฎหมายก็บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยให้ค่าเสียหายตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ดินจำเลยตรงทางเดินรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอม ซึ่งโจทก์ใช้เป็นทางเดินมากว่า 10 ปี ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทางรายพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านหรือไม่ มิได้อยู่ที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใดหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงยอมความขยายผลถึงค่าเสียหาย: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมที่บังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามที่ตกลงกัน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าและให้จำเลยให้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาทด้วย จำเลยให้การว่า เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ๆ ค่าเสียหายของโจทก์อย่างสูงไม่เกินเดือนละ 50 บาท ในการพิจารณาคู่ความตกลงกันว่า จะพิพาทกันเฉพาะประเด็นที่ว่า ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยอันจะได้รับความคุ้มครอง ๆ หรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นข้ออื่นคู่ความตกลงกันสละเสียไม่ถือเป็นข้อพิพาทต่อไปคือ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นเคหะโจทก์ยอมแพ้ ถ้าวินิจฉัยว่าไม่เป็ฯเคหะ จำเลยยอมแพ้ ดังนี้ เมื่อศาลฟังว่าห้องพิพาทไม่เป็นเคหะ จำเลยแพ้คดีตามคำห้า จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทด้วย จะอ้างว่าคู่ความตกลงสละประเด็นข้อค่าเสียหายแล้วศาลพิพากษาให้ชำระค่าเสียหายเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและเกินคำขอ ดังนี้ หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 413/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าไม่กระทบหน้าที่จำเลยตามคำพิพากษา ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ระหว่างอุทธรณ์โจทก์ซึ่งชนะคดีจำเลยในเรื่องฟ้องให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างล้ำเข้าไปในที่โจทก์ซึ่งโจทก์เช่ามาพร้อมด้วยเรียกค่าเสียหายโจทก์ได้โอนสิทธิการเช่าที่ไปยังบุคคลอื่นจำเลยจะถือว่าโจทก์มีสิทธิบังคับตามคำพิพากษาเพียงวันโอนไม่ได้เพราะการโอนเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับผู้รับโอนส่วนจำเลยมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1345/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยักยอกทรัพย์และปลอมแปลงเอกสาร: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นยกฟ้องอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องอาศัยข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้