พบผลลัพธ์ทั้งหมด 242 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าสินค้าซื้อขาย และการเชิดตัวบุคคลแสดงเป็นตัวแทน
เมื่อจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาเป็นตัวแทนกับโจทก์ ส.ก็ไปเป็นพยานในสัญญานอกจากส. จะเป็นภริยาจำเลยที่ 2 และเป็นมารดาจำเลยที่ 3 แล้ว ยังใช้ชื่อ ส. เป็นชื่อห้างจำเลยที่ 1และหัวกระดาษผัดหนี้ก็มีชื่อจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิด ส. ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแบตเตอรี่ที่จำเลยสั่งซื้อ จำเลยให้การว่าฟ้องขาดอายุความแล้วเพราะไม่ฟ้องภายใน 2 ปีข้อต่อสู้ของจำเลยอ้างเหตุชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว เพราะบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าจะต้องระบุอ้างมาตราในกฎหมายลงไปด้วย การที่จำเลยระบุเลขของอนุมาตราในมาตราเดียวกันนั้นคลาดเคลื่อนไป ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใด แม้ในคำให้การจะอ้างมาตรา 165(2) แล้วต่อมาขอแก้เป็นมาตรา 165(1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยก็อ้างมาตรา 165(1)ขึ้นฎีกาได้
สัญญามีข้อความว่า โจทก์ตกลงขายแบตเตอรี่ให้แก่ผู้แทนจำหน่าย (จำเลย) เพื่อนำไปขายอีกต่อหนึ่ง เมื่อจำเลยต้องการซื้อเมื่อใด แบบใด จำนวนเท่าใดต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า โดยมีใบสั่งซื้อหรือหนังสือสั่งซื้อเป็นหลักฐาน. ดังนี้ เป็นการซื้อขายแบตเตอรี่ระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่สัญญาตัวแทนค้าต่างไม่ ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของคือแบตเตอรี่จากจำเลยจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 165(1) เมื่อนับแต่วันส่งมอบของครั้งสุดท้ายก็ดี หรือนับแต่วันที่ตัวแทนจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ดีนับถึงวันฟ้องคดีก็เกิน 2 ปีแล้ว ฟ้องจึงขาดอายุความตามมาตรา 165(1) แล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแบตเตอรี่ที่จำเลยสั่งซื้อ จำเลยให้การว่าฟ้องขาดอายุความแล้วเพราะไม่ฟ้องภายใน 2 ปีข้อต่อสู้ของจำเลยอ้างเหตุชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว เพราะบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าจะต้องระบุอ้างมาตราในกฎหมายลงไปด้วย การที่จำเลยระบุเลขของอนุมาตราในมาตราเดียวกันนั้นคลาดเคลื่อนไป ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใด แม้ในคำให้การจะอ้างมาตรา 165(2) แล้วต่อมาขอแก้เป็นมาตรา 165(1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยก็อ้างมาตรา 165(1)ขึ้นฎีกาได้
สัญญามีข้อความว่า โจทก์ตกลงขายแบตเตอรี่ให้แก่ผู้แทนจำหน่าย (จำเลย) เพื่อนำไปขายอีกต่อหนึ่ง เมื่อจำเลยต้องการซื้อเมื่อใด แบบใด จำนวนเท่าใดต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า โดยมีใบสั่งซื้อหรือหนังสือสั่งซื้อเป็นหลักฐาน. ดังนี้ เป็นการซื้อขายแบตเตอรี่ระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่สัญญาตัวแทนค้าต่างไม่ ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของคือแบตเตอรี่จากจำเลยจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 165(1) เมื่อนับแต่วันส่งมอบของครั้งสุดท้ายก็ดี หรือนับแต่วันที่ตัวแทนจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ดีนับถึงวันฟ้องคดีก็เกิน 2 ปีแล้ว ฟ้องจึงขาดอายุความตามมาตรา 165(1) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลตเตอร์ออฟเครดิต: ความรับผิดตามสัญญาแม้สินค้าไม่ตรงตามเอกสาร และผลของการผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีท
จำเลยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารโจทก์โดยมีข้อตกลงว่า ในกรณีที่เอกสารต่าง ๆ ถูกต้องแล้ว ธนาคารโจทก์ไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีสินค้าที่ส่งมาเสียหายขาดจำนวนหรือบกพร่อง และตกลงให้ถือเอาระเบียบประเพณีและพิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเครดิตมีเอกสารประกอบ (แก้ไขเพิ่มเติมปี ค.ศ.1962) ของสภาหอการค้านานาชาติ ซึ่งระบุว่าให้ถือเอาความถูกต้องของเอกสารเป็นหลัก เป็นส่วนหนึ่งของข้อสัญญา เมื่อปรากฏว่าเอกสารต่าง ๆ ที่ส่งมาคือ รายการสินค้าที่ระบุไว้ในใบตราส่ง (BILLSOFLADING) และบัญชีราคาสินค้า(INVOICES) ทุกรายการถูกต้องตรงกับรายการสินค้าในใบเสนอ(OFFER) ซึ่งแนบท้ายเลตเตอร์ออฟเครดิต และบริษัทผู้ขายสินค้าได้เสนอเอกสารต่าง ๆ ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่ระบุในเลตเตอร์ออฟเครดิตแล้ว แม้สินค้านั้นไม่ตรงตามรายการที่ระบุในใบตราส่งบัญชีราคาสินค้าและใบเสนอดังกล่าวก็ตาม จำเลยก็ต้องรับผิดตามข้อตกลงที่ได้ทำกันไว้
จำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทสำหรับสินค้าที่ส่งมา โดยแบ่งแยกชำระเป็นงวด ๆ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้งวดแรกโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดในหนี้ทั้งจำนวนได้
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2524)
จำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทสำหรับสินค้าที่ส่งมา โดยแบ่งแยกชำระเป็นงวด ๆ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้งวดแรกโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดในหนี้ทั้งจำนวนได้
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2524)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3895/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนบริษัทต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษีจากการจำหน่ายเงินค่าสินค้าที่ลูกค้าส่งไปชำระโดยตรงที่ต่างประเทศ
บริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) ทำสัญญาขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยโดยโจทก์ลงชื่อในสัญญาเป็นผู้ขายในฐานะเป็นตัวแทน โจทก์จึงเป็นตัวแทนของบริษัท น. ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้จากการขายสินค้า มิใช่เป็นเพียงลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อของบริษัท น. เท่านั้นโจทก์จึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้สำหรับการขายสินค้าดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ
บริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) มีหุ้นอยู่ในห้างโจทก์ 99.5 เปอร์เซ็นต์โจทก์จึงเป็นตัวแทนตามกฎหมายประกอบธุรกิจแต่บางส่วนให้กับบริษัทดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็น "สถานประกอบการถาวร" ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ มิใช่เป็นแต่ นายหน้า ตัวแทนค้าต่าง หรือตัวแทนอื่น ๆ ที่มีสถานภาพเป็นอิสระ อย่างแท้จริง ซึ่งกระทำการแต่เพียงเป็นสื่อกลางระหว่างวิสาหกิจหนึ่งของรัฐ ผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งกับผู้ที่จะเป็นลูกค้าในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โจทก์ จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามอนุสัญญาดังกล่าว
เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 76 ทวิ และภาษีจากการจำหน่ายเงินกำไรตามมาตรา 70 ทวิ โดยโจทก์มิได้โต้แย้งจำนวนเงินได้ที่บริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) ได้รับตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านจำนวนเงินดังกล่าวในชั้นศาล
โจทก์ทราบที่มาของการประเมินทุกขั้นตอนของจำเลยที่ให้โจทก์ในฐานะตัวแทนของบริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) เสียภาษีในการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70 ทวิ และโจทก์เข้าใจดีแล้ว ดังนั้นแม้คำสั่งของจำเลยให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ดังกล่าวและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จะไม่กล่าว ให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาหรือที่มาของจำนวนเงินภาษีที่โจทก์ จะต้องชำระก็ไม่เป็นการเคลือบคลุมและไม่เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิ นั้น ต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไร และเงินที่จำหน่ายนั้นต้องเป็นกำไรโดยแท้จริงหรือที่ถือได้ว่าเป็นกำไร เงินที่ลูกค้าในประเทศไทยที่ส่งไปให้แก่ บริษัท น. ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเงินค่าสินค้าซึ่งลูกค้าเป็นผู้ส่งเองโดยทางเลตเตอร์ออฟเครดิต ถือไม่ได้ว่ามีการจำหน่ายเงินกำไรด้วยเพราะโจทก์มิได้เป็นผู้จำหน่ายเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์ จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 ทวิ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4/2521และคำพิพากษาฎีกาที่ 358/2524)
(วรรคสี่ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2525)
บริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) มีหุ้นอยู่ในห้างโจทก์ 99.5 เปอร์เซ็นต์โจทก์จึงเป็นตัวแทนตามกฎหมายประกอบธุรกิจแต่บางส่วนให้กับบริษัทดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็น "สถานประกอบการถาวร" ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ มิใช่เป็นแต่ นายหน้า ตัวแทนค้าต่าง หรือตัวแทนอื่น ๆ ที่มีสถานภาพเป็นอิสระ อย่างแท้จริง ซึ่งกระทำการแต่เพียงเป็นสื่อกลางระหว่างวิสาหกิจหนึ่งของรัฐ ผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งกับผู้ที่จะเป็นลูกค้าในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โจทก์ จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามอนุสัญญาดังกล่าว
เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 76 ทวิ และภาษีจากการจำหน่ายเงินกำไรตามมาตรา 70 ทวิ โดยโจทก์มิได้โต้แย้งจำนวนเงินได้ที่บริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) ได้รับตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านจำนวนเงินดังกล่าวในชั้นศาล
โจทก์ทราบที่มาของการประเมินทุกขั้นตอนของจำเลยที่ให้โจทก์ในฐานะตัวแทนของบริษัท น. (ประเทศญี่ปุ่น) เสียภาษีในการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70 ทวิ และโจทก์เข้าใจดีแล้ว ดังนั้นแม้คำสั่งของจำเลยให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ดังกล่าวและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จะไม่กล่าว ให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาหรือที่มาของจำนวนเงินภาษีที่โจทก์ จะต้องชำระก็ไม่เป็นการเคลือบคลุมและไม่เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิ นั้น ต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไร และเงินที่จำหน่ายนั้นต้องเป็นกำไรโดยแท้จริงหรือที่ถือได้ว่าเป็นกำไร เงินที่ลูกค้าในประเทศไทยที่ส่งไปให้แก่ บริษัท น. ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเงินค่าสินค้าซึ่งลูกค้าเป็นผู้ส่งเองโดยทางเลตเตอร์ออฟเครดิต ถือไม่ได้ว่ามีการจำหน่ายเงินกำไรด้วยเพราะโจทก์มิได้เป็นผู้จำหน่ายเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์ จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 ทวิ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4/2521และคำพิพากษาฎีกาที่ 358/2524)
(วรรคสี่ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2525)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้า: หีบห่อภายนอกเรียบร้อย ไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายภายใน
การบรรจุสินค้าลงในหีบห่อ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ผู้ส่งออกกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร บริษัทจำเลยผู้ขนส่งคงรับมอบไปเฉพาะหีบห่อที่ห่อเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการบรรจุสินค้าลงในหีบห่อด้วย รายละเอียดของสินค้าที่ระบุไว้ในใบกำกับสินค้าเป็นเรื่องพิธีการทางศุลกากร เมื่อจำเลยได้มอบหีบห่อที่ขนส่งให้แก่ผู้รับตราส่งในสภาพที่หีบห่อภายนอกเรียบร้อยเช่นเดิมแล้ว จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4037/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความเหมือนหรือความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้า เพื่อใช้ในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้าซึ่งจำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนคือ 'ORAVIT-M' ออกสำเนียงว่า 'โอราวิท-เอ็ม'กับเครื่องหมายการค้าโจทก์ซึ่งจดทะเบียนไว้คือ 'AROVIT' ออกสำเนียงว่า 'อะโรวิท' นั้นไม่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน.เพราะเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีสำเนียงเพียง 3 พยางค์และขึ้นต้นด้วยคำว่า 'อะ' ส่วนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนมีสำเนียงถึง 4 พยางค์ และขึ้นต้นด้วยคำว่า 'โอ' ไม่ทำให้ผู้เรียกขานสับสน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยการส่งมอบสินค้า: การจัดสรรชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328
จำเลยออกเช็คพิพาทใช้หนี้โจทก์ และเป็นหนี้โจทก์ตามใบส่งของซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยนำเงินตามเช็คไปชำระ และโจทก์ได้รับอะลูมินั่มไฮดรอกไซด์ที่จำเลยส่งมาให้โดยไม่ระบุในใบรับว่าหักบัญชีหรือชำระหนี้รายไหน ดังนี้กรณีต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 โจทก์จัดสรรชำระหนี้ตามความพอใจของโจทก์ไม่ได้ ฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทซึ่งถึงกำหนดชำระ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผู้ขนส่งสินค้าต่างชาติในไทย: อำนาจฟ้อง, ส่วนได้เสีย, ข้อจำกัดความรับผิด
โจทก์ใส่ชื่อจำเลยในตอนต้นของคำฟ้องว่า'สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ' ตามชื่อที่จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ แต่ในคำบรรยายฟ้องได้กล่าวให้ทราบชัดแล้วว่าโจทก์ฟ้องบริษัท ด.กับบริษัทอ. ซึ่งเป็นนิติบุคคล อยู่ในประเทศเดนมาร์ก. และมีสำนักงานสาขาสำหรับดำเนินธุรกิจซึ่งบริษัททั้งสองทำร่วมกันในประเทศไทยโดยใช้ชื่อว่า 'สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ ' เป็นจำเลยดังนี้ แม้ 'สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ ' จะมิได้เป็นนิติบุคคล ก็ไม่เป็นเหตุให้ไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลย ได้
บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าเข้ามาจากประเทศฟิลิปปินส์และได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ แม้ตามใบตราส่งจะระบุให้ธนาคารเป็นผู้รับสินค้า แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าหากวินาศภัยมีขึ้นแก่สินค้าที่เอาประกันภัยนั้น บริษัท ย. จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อธนาคารประการใดเลยแล้ว ก็ต้องถือว่าบริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้
ข้อความจำกัดความรับผิดในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้จากผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่ง ซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าเข้ามาจากประเทศฟิลิปปินส์และได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ แม้ตามใบตราส่งจะระบุให้ธนาคารเป็นผู้รับสินค้า แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าหากวินาศภัยมีขึ้นแก่สินค้าที่เอาประกันภัยนั้น บริษัท ย. จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อธนาคารประการใดเลยแล้ว ก็ต้องถือว่าบริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้
ข้อความจำกัดความรับผิดในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้จากผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่ง ซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเรียกคืนเงินค่าสินค้า - ความแตกต่างระหว่างการไม่ส่งมอบกับข้อบกพร่อง
ผู้ซื้อเรียกเงินที่ชำระราคาล่วงหน้าไปคืนจากผู้ขายเพราะผู้ขายไม่ส่งมอบของที่ขายไม่ใช่อายุความ 2 ปี ตาม มาตรา 165(1) แต่ 10 ปี ตาม มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุสินค้าที่นำเข้าแล้ว ไม่ถือเป็นการผลิต ต้องเสียภาษีเฉพาะการนำเข้า
โจทก์สั่งซื้อใบชาจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย โดยเสียภาษีการค้าในการนำเข้าถูกต้องแล้ว การที่โจทก์นำใบชาดังกล่าวมาแบ่งบรรจุเป็นห่อและกระป๋องเป็นชนิดตามที่ได้แยกไว้แล้วจากต่างประเทศ มิได้นำมาปนกันนั้นเป็นการกระทำเพื่อความสะดวกแก่ผู้ซื้อรายย่อยจะซื้อได้เท่าจำนวนที่ต้องการ และสะดวกในการที่จะนำพาไป การที่มีเครื่องหมายการค้าและตรายี่ห้อของโจทก์ประทับอยู่ด้วย ก็เพื่อให้ผู้ซื้อทราบถึงชนิดของใบชาและทราบว่าเป็นสินค้าของโจทก์นั่นเอง สินค้าใบชาดังกล่าวยังคงมีสภาพเป็นสินค้าใบชาของเดิม มิได้แปรรูปหรือเปลี่ยนสภาพเป็นสินค้าชนิดใหม่ และการกระทำของโจทก์หาใช่เป็นการประกอบหรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ไม่ จึงไม่ใช่การผลิตตามมาตรา 77 โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องความชำรุดบกพร่องของสินค้า: ข้อตกลงรับคืนกระป๋องชำรุดไม่ยกเว้นอายุความ 1 ปี
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยติดต่อค้าขายกันหลายปีโดยโจทก์รับซื้อกระป๋องบรรจุน้ำมันหล่อลื่น จากจำเลยมีข้อตกลงว่าถ้ากระป๋องชำรุดรั่วใช้การไม่ได้ จำเลยยอมรับคืนและยอมใช้ค่ากระป๋องในราคาที่จำเลยขายให้โจทก์ โจทก์ได้ส่งกระป๋องที่ชำรุดจำนวนหนึ่งคืนจำเลย แต่จำเลยไม่ใช้ราคา โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ดังนี้เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดเกี่ยวกับทรัพย์สินที่จำเลยขายให้โจทก์ชำรุดบกพร่องโดยตรง ตกอยู่ภายใต้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 ไม่ใช่เรื่องโจทก์ฟ้องเรียกราคาค่าขายกระป๋อง ชำรุดอันจะ ใช้อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 165(1)