คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โอนที่ดิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 328 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดิน ส.ค.1 โดยการส่งมอบการครอบครองสมบูรณ์ ทำให้ข้อกำหนดพินัยกรรมเดิมเพิกถอนได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ค.1 เมื่อยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่กันได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้นการโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบ เมื่อ อ.ส่งมอบการครอบครองให้แก่ห.ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนโจทก์ การยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ดังกล่าวจึงสมบูรณ์ ถือได้ว่า ก. ผู้ทำพินัยกรรมได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมด้วยความตั้งใจ ข้อกำหนดพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่ ก.ทำไว้แต่เดิมเพื่อยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยนั้น เป็นอันเพิกถอนไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1696

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โมฆียะกรรมจากกลฉ้อฉล & สินส่วนตัว: ผลต่อการโอนที่ดินชำระหนี้
ค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ชำระตั้งแต่เมื่อส่งเอกสารเป็นต้นไป มิใช่ว่าหากไม่ชำระค่าอ้างเอกสารทันทีแล้วจะรับฟังเอกสารนั้น ๆ ไม่ได้ ผู้อ้างเอกสารย่อมมีโอกาสเสียค่าอ้างเอกสารได้เสมอ ดังนั้น เมื่อโจทก์เสียค่าอ้างเอกสารหลังจากจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้ นิติกรรมที่จำเลยโอนที่พิพาทตีใช้หนี้เงินยืมให้โจทก์เกิดจากกลฉ้อฉลของโจทก์เป็นโมฆียะ แต่ ป. สามีจำเลยไม่ใช่ผู้ได้ทำการแสดงเจตนาโดย วิปริตหรือเป็นบุคคลที่กฎหมายให้บอกล้างโมฆียะกรรมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 การที่ป. มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมจึงไม่มีผลตามกฎหมาย ที่พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งได้รับการยกให้มาจากบิดาก่อนทำการสมรสกับ ป. จำเลยจึงมีอำนาจจัดการสินส่วนตัวได้โดย ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี นิติกรรมโอนที่พิพาทตีใช้หนี้ให้โจทก์ย่อมสมบูรณ์ แม้ไม่ได้รับความยินยอมจาก ป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: การผิดสัญญาเนื่องจากไม่ชำระหนี้ตามกำหนด และผลกระทบต่อสิทธิในการโอนที่ดิน
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทมีข้อตกลงว่าโจทก์ผู้จะซื้อจะต้องชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือทั้งสิ้นจำนวน 137,500 บาท ให้แก่จำเลยผู้จะขายภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2529 และจำเลยจะโอนที่ดินให้โจทก์ในวันเดียวกัน ถือได้ว่าสัญญาฉบับพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีกำหนดชำระหนี้กันแน่นอน ซึ่งมีวัตถุประสงค์แห่งหนี้ที่โจทก์ต้องปฏิบัติการชำระให้แก่จำเลย คือชำระด้วยเงินเท่านั้นแต่ครั้นถึงกำหนดชำระหนี้ ปรากฏว่าโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยไม่ครบตามสัญญา โดยในส่วนที่เหลือโจทก์ได้ทำสัญญากู้ให้จำเลยเป็นประกันมีกำหนดชำระเงิน 1 ปี จึงเท่ากับว่าคู่สัญญาตกลงกันให้เลื่อนการชำระหนี้ออกไปได้อีก ดังนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญากู้โจทก์ไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วน ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 143/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้รับโอนที่ดินเดิม ทำให้ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้
ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ค. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินของค.ให้อ.ไปแล้วต่อมาอ. ถึงแก่กรรม ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินดังกล่าว และไม่อาจร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ อ.ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ vs. การโอนที่ดินโดยเสน่หาและสุจริต
พ.และฮ.ต่างเข้าครอบครองที่ดินตามส่วนที่ช.เจ้าของที่ดินยกให้โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนแบ่งแยกแต่อย่างใดเมื่อ ฮ. ตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรได้ครอบครองต่อมาจนถึงปัจจุบันโดย พ. และโจทก์ต่างครอบครองและทำกินเป็นสัดส่วนต่างหากจากกัน เป็นเวลานานหลายสิบปีเช่นนี้แสดงว่าต่างฝ่ายต่างก็มีเจตนาครอบครองที่ดินเพื่อตนเองอย่างเป็นเจ้าของ เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินโดยความสงบและเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 พ. ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยทั้งสองและพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน จำเลยทั้งสองอุปการะเลี้ยงดู พ.ตลอดมาพ. เคยยกที่ดินบางส่วนในแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองมาก่อนโดยไม่เสียค่าตอบแทน หากที่ดินพิพาทเป็นของ พ.จริงพ.ก็น่าจะยกให้จำเลยทั้งสองโดยเสน่หาโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า พ. ขายที่ดินให้จึงไม่น่าเชื่อถือ น่าเชื่อว่า พ. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองโดยเสน่หาโดยไม่มีค่าตอบแทน จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกมาตรา 1299วรรคสอง ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองรับโอนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการจดทะเบียนโอนที่ดิน: น.ส.3 ไม่ใช่หลักฐานกรรมสิทธิ์, สิทธิเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ไม่เกิดขึ้น
ขณะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ซึ่งเป็นเพียงเอกสารแสดงสิทธิครอบครองเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์เช่นโฉนดที่ดิน แม้ภายหลังได้มีการออกโฉนดที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 ขายต่อให้จำเลยที่ 4 ก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 มาใช้แก่กรณีนี้ไม่ได้ โจทก์จึงไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6210/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินชำระหนี้โดยไม่สุจริตและเสียเปรียบ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องราคาที่ดินคืนได้
จำเลยที่ 2 กู้เงินผู้คัดค้านสองจำนวน จำนวนละ 500,000 บาทจำนวนแรกไม่ได้มีหลักฐานการกู้ เพียงออกเช็ค 2 ฉบับไม่ลงวันที่มอบให้ผู้คัดค้านยึดถือจำนวนที่สองนำที่ดินพิพาท 8 แปลงมาจำนองยอมให้ถือว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินโดยมีข้อตกลงว่าถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านโอนที่ดินจำนองชำระหนี้ได้ จำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้ผู้คัดค้านโอนที่ดินพิพาททั้ง 8 แปลงเป็นของผู้คัดค้าน แม้การรับจำนองดังกล่าวได้กระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน และการโอนที่ดินเพื่อชำระหนี้จำนองเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนแต่ที่ดิน 8 แปลง ที่นำมาจำนองมีราคาถึง 1,000,000บาท เศษ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ผู้คัดค้านอยู่เพียง 500,000 บาทการที่ผู้คัดค้านรับโอนที่ดินพิพาททั้ง 8 แปลงจึงเป็นการกระทำที่รู้อยู่แล้วว่าทำให้จำเลยที่ 2 และเจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 2เสียเปรียบ ย่อมถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านรับโอนไว้โดยสุจริตชอบที่จะเพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ ศาลชั้นต้นพิมพ์จำนวนเงินผิด เป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข การเพิกถอนการโอนที่ดินเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาตราบใดยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาถือเป็นการโอนโดยชอบ ยังถือไม่ได้ว่าผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย ผู้ร้องมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5978-5979/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขคำฟ้องระหว่างพิจารณาคดี & เหตุคุ้มครองชั่วคราว: การโอนที่ดินพิพาทขัดขวางบังคับคดี
ศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์ ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 2ที่ 3 ได้จดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทคืนให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์เพิ่งทราบหลังจากการชี้สองสถาน จึงขอแก้ไขคำฟ้องตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อบังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ซื้อที่นาพิพาทอีก ทอด หนึ่ง ให้โอนขายแก่โจทก์ด้วย เห็นได้ชัดว่าข้อเท็จจริงดังกล่าว เพิ่งเกิดขึ้นหลังวันชี้สองสถาน โจทก์จึงไม่อาจยื่นคำร้องได้ ก่อนวันชี้สองสถาน ตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องจำเลยที่ 1 ขายที่นาพิพาทให้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยไม่แจ้งและเสนอขายให้โจทก์ในฐานะผู้เช่า ก่อนโจทก์จึงฟ้องขอบังคับซื้อที่ดินนาพิพาทจากจำเลยทั้งสาม ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ขณะคดีอยู่ ในระหว่าง พิจารณาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ได้จดทะเบียนโอนขาย ที่นาพิพาทคืนให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงได้แก้ไขคำฟ้องเพื่อบังคับ จำเลยที่ 1 ตามข้อเท็จจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วย เป็นการแก้ไข คำฟ้องเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179(2) มีความเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม โจทก์มีสิทธิ ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 182 ตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวกล่าวว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่ยอมส่งโฉนดที่พิพาทตามคำสั่งศาลเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน เพราะจำเลยทั้งสามตั้งใจโอนที่นาพิพาทเพื่อไม่ให้โจทก์บังคับคดี ต่อมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้โอนที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 กำลังบอกขายที่นาพิพาทเพื่อให้พ้นจากการบังคับคดี ของ โจทก์จึงขอให้ศาลอายัดที่นาก่อนศาลมีคำพิพากษา คำร้องของโจทก์ เป็น การขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอนขาย ยักย้าย หรือ จำหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254(2) แม้โจทก์จะใช้คำว่าขอให้อายัด ก็แปลได้ว่าเป็นการ ขอให้ห้ามจำหน่ายจ่ายโอนนั่นเอง เมื่อตามคำร้องปรากฏว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้โอนที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 1 ในระหว่าง การพิจารณา และจำเลยที่ 1 กำลังบอกขายให้บุคคลอื่นต่อไป พอชี้ ให้เห็นความตั้งใจของจำเลยทั้งสามว่าจะจำหน่ายจ่ายโอนเพื่อ ขัดขวางแก่การบังคับตามคำบังคับคดี ซึ่งอาจจะออกบังคับเอาแก่จำเลย ทั้งสามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 255 แล้วคดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับซื้อ ที่นาพิพาท หากจำเลยที่ 1 จะขายที่นาพิพาทต้องแจ้งให้โจทก์ทราบ ตามสิทธิที่จะซื้อก่อน ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 และหากขายที่นาพิพาทไปแล้วผู้ซื้อก็ต้อง รับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามมาตรา 28ซึ่งโจทก์ได้รับความคุ้มครอง อยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าปล่อยให้จำเลยโอนที่นาพิพาทไปยังบุคคลภายนอก แม้โจทก์ชนะคดีก็ไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยเพื่อให้ได้มาซึ่ง ที่นาพิพาท โจทก์ต้องไปดำเนินการ เพื่อ บังคับซื้อจากบุคคลภายนอก ผู้รับโอนตามมาตรา 54 ใหม่ ทำให้เกิด ภาระ แก่โจทก์ไม่มีที่สิ้นสุด โจทก์จึงมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 254(2) ศาลชั้นต้นต้องรับ คำร้อง ของโจทก์ไว้ไต่สวน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5825/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการชำระค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดิน ไม่ถือเป็นเหตุให้สภาพหนี้ไม่เปิดช่องให้โอนได้ จำเลยต้องชำระเพิ่ม
ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสองแปลงให้โจทก์และเสียค่าธรรมเนียม ค่าอากร ค่าภาษีเงินได้ตามสัญญาจะซื้อจะขาย หาก ไม่อาจโอนได้ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ การที่เจ้าพนักงานที่ดิน ประเมินราคาที่ดินเพียงแปลงเดียว ให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียม ค่าอากร ค่าภาษีเงินได้เป็นเงิน 3,213,280 บาท แต่ราคาที่ดินตาม สัญญาจะซื้อจะขายเป็นเงิน1,525,925 บาท เมื่อหักเงินมัดจำออกแล้ว จำเลยจะได้รับชำระเงินจากโจทก์อีกประมาณ 1,000,000 บาท ไม่พอ ชำระค่าธรรมเนียมในการโอน จำเลยต้องหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมอีก 2,000,000 กว่า บาทการที่จำเลยมีเงินไม่พอชำระค่าธรรมเนียม ค่าอากร ค่าภาษีเงินได้นั้นไม่ใช่เป็นกรณีสภาพแห่งหนี้ไม่เปิด ช่องให้โอนที่ดินให้โจทก์ได้ แต่เป็นกรณีที่จำเลยมีภาระเพิ่มขึ้น ในการที่ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยจะคืนเงินมัดจำ แทนการโอนที่ดินให้โจทก์หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3277/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการโอนที่ดินโดยไม่สุจริต ทำให้การรับโอนที่ดินเป็นโมฆะ
จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วโจทก์จึงรับโอนที่ดินจาก บ.ผู้มีชื่อโฉนดที่ดินเพื่อตีใช้หนี้ก่อนโอนบ.ได้พาโจทก์มาดูที่พิพาท โจทก์ย่อมเห็นจำเลยปลูกบ้าน ปลูกต้นไม้ยืนต้นในที่ดินพิพาทอย่างถาวร เมื่อบ. บอกโจทก์ว่า จำเลยเช่าที่พิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยโจทก์เชื่อก็ไม่ได้ขอดูหลักฐานการเช่าจากบ.ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้สอบถามจำเลยว่าเช่าที่พิพาทจริงหรือไม่ผิดวิสัยของผู้ซื้อที่ดินทั่วไป พฤติการณ์แสดงว่า ขณะโจทก์รับโอนที่ดิน โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยเห็นเจ้าของที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้จะถือว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตไม่ได้
of 33