พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายระหว่างคนต่างด้าวกับคนไทย: สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นเงื่อนไขสำคัญของสัญญา
สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างคนไทยกับคนต่างด้าวนั้น หาเป็นโมฆะหรือโมฆียะไม่ เพราะกฎหมายหาได้ห้ามขาดไม่ให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียทีเดียวไม่ คนต่างด้าวซึ่งเป็นคนซื้ออาจดำเนินการให้ได้รับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายนั้นได้ เช่น ทำการขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ แต่คดีนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ (คนต่างด้าว) ได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนด และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่ประการใด กรณีย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะจะสามารถซื้อที่ดินจากจำเลยได้ อยู่ ๆ โจทก์ก็มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้ โดยโจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ เช่นนี้ หากศาลบังคับให้ ก็เป็นทางให้โจทก์ได้ที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ฉะนั้น การที่จำเลยยังไม่โอนที่พิพาทให้โจทก์ ย่อมจะถือว่าจำเลยผิดสัญญาได้ไม่ และโจทก์จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยก็ไม่ได้เช่นกัน
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2511)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายระหว่างคนต่างด้าวกับคนไทย: สิทธิในการซื้อที่ดิน, การปฏิบัติตามเงื่อนไข, และผลของการผิดสัญญา
สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างคนไทยกับคนต่างด้าวนั้น หาเป็นโมฆะหรือโมฆียะไม่ เพราะกฎหมายหาได้ห้ามขาดไม่ให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียทีเดียวไม่คนต่างด้าวซึ่งเป็นคนซื้ออาจดำเนินการให้ได้รับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายนั้นได้ เช่นทำการขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ แต่คดีนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์(คนต่างด้าว)ได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนด และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่ประการใดกรณีย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะจะสามารถซื้อที่ดินจากจำเลยได้อยู่ ๆ โจทก์ก็มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้โดยโจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ เช่นนี้หากศาลบังคับให้ ก็เป็นทางให้โจทก์ได้ที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ฉะนั้น การที่จำเลยยังไม่โอนที่พิพาทให้โจทก์ ย่อมจะถือว่าจำเลยผิดสัญญาหาได้ไม่และโจทก์จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยก็ไม่ได้เช่นกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินกับคนต่างด้าว: สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์เป็นเงื่อนไขสำคัญ
สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างคนไทยกับคนต่างด้าวนั้น หาเป็นโมฆะหรือโมฆียะไม่. เพราะกฎหมายหาได้ห้ามขาดไม่ให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียทีเดียวไม่.คนต่างด้าวซึ่งเป็นคนซื้ออาจดำเนินการให้ได้รับโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายนั้นได้ เช่นทำการขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์. แต่คดีนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์(คนต่างด้าว)ได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนด และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ได้มาซึ่งที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่ประการใด. กรณีย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะจะสามารถซื้อที่ดินจากจำเลยได้. อยู่ๆ โจทก์ก็มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้. โดยโจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ เช่นนี้.หากศาลบังคับให้ ก็เป็นทางให้โจทก์ได้ที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย. ฉะนั้น การที่จำเลยยังไม่โอนที่พิพาทให้โจทก์. ย่อมจะถือว่าจำเลยผิดสัญญาหาได้ไม่. และโจทก์จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยก็ไม่ได้เช่นกัน.(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2511).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 474/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องบังคับตามสัญญาซื้อขายที่ดิน เริ่มนับจากวันที่จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2257 เนื้อที่ 6 ไร่ 45 วา ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดที่ 13 ให้แก่บิดาโจทก์โดยใส่ชื่อโจทก์ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2491 ต่อมาโจทก์ทราบว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองเป็นที่ดินโฉนดที่ 13 ที่เหลือมีเนื้อที่ 5 ไร่ 78 วา ไม่ใช่ที่ดินโฉนดที่ 2257 ส่วนที่ดินโฉนดที่ 2257 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองแล้วโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ไป ดังนี้ แม้ที่ดินที่โจทก์เป็นเรื่องครอบครองที่ดินสับแปลงกัน ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องขอบังคับจำเลยก็ดี แต่โจทก์จะต้องจัดการฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตามสัญญาภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2491 ฉะนั้น อายุความฟ้องร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2491 เป็นต้นไป เพราะโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้แล้ว ไม่ใช่นับแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2506 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองไม่ใช่ที่ดินโฉนดเลขที่ 2257 แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยเมื่อวัน ที่ 27 พฤศจิกายน 2506 เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้วคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 163
จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2491 ฉะนั้น อายุความฟ้องร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2491 เป็นต้นไป เพราะโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้แล้ว ไม่ใช่นับแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2506 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองไม่ใช่ที่ดินโฉนดเลขที่ 2257 แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยเมื่อวัน ที่ 27 พฤศจิกายน 2506 เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้วคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 163
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกคืนที่ดินหลังผิดสัญญาซื้อขาย และผลของการครอบครองปรปักษ์ รวมถึงข้อจำกัดในการยกเหตุข้อกฎหมายใหม่ในชั้นอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์ชำระค่าที่ดินยังไม่ครบ แต่ไม่ได้ยกเหตุที่จำเลยชำระค่าที่ดินไม่ตรงตามกำหนดทุกเดือน โจทก์จะยกปัญหาข้อนี้ในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะมิได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์แล้วผิดสัญญา จึงฟ้องเรียกที่ดินคืนจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการซื้อขาย ดังนี้ ฟ้องแย้งเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับฟ้องเดิม
ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน จำเลยแย่งการครอบครองมาจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปี โจทก์หมดสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 (อ้างฎีกาที่ 1694, 1695/2500)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์แล้วผิดสัญญา จึงฟ้องเรียกที่ดินคืนจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการซื้อขาย ดังนี้ ฟ้องแย้งเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับฟ้องเดิม
ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน จำเลยแย่งการครอบครองมาจนถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปี โจทก์หมดสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 (อ้างฎีกาที่ 1694, 1695/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองแทนและผลกระทบต่อสิทธิในที่ดิน รวมถึงสัญญาซื้อขายที่ดินขัดต่อกฎหมาย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวซื้อที่ดินในต่างจังหวัดและประสงค์จะให้บุตรเป็นผู้รับโอน. แต่บุตรยังเป็นเด็กและอยู่ในกรุงเทพฯ. จึงให้จำเลยเป็นผู้รับโอนแทนนั้น. แม้จำเลยจะเข้าครอบครองเสียภาษี และแจ้งการครอบครองลงชื่อของจำเลยเองในที่ดินแปลงนั้นก็ตาม ก็เป็นการครอบครองแทนโจทก์. ถึงแม้จำเลยจะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่อาจยกอายุความขึ้นใช้ยันโจทก์ได้. และจำเลยจะอ้างว่ายึดถือครอบครองเพื่อตนเองก็ไม่ได้. เพราะมิได้มีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไม่เจตนาจะยึดถือแทนหรือครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก.
การที่โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวซื้อที่ดินและให้จำเลยซึ่งเป็นคนไทยเป็นผู้รับโอนแทนนั้น.วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย. เพราะขัดกับประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 และมาตรา113. จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113. โจทก์จะบังคับจำเลยให้โอนที่ดินนั้นให้แก่โจทก์โดยโอนในนามของบุตรโจทก์ซึ่งเป็นคนไทยหาได้ไม่. และการยึดถือที่ดินของจำเลยเป็นการยึดถือแทนโจทก์. จำเลยก็จะอ้างว่าเป็นเจ้าของไม่ได้. ผลต่อไปต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 96. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2511).
การที่โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวซื้อที่ดินและให้จำเลยซึ่งเป็นคนไทยเป็นผู้รับโอนแทนนั้น.วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย. เพราะขัดกับประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 และมาตรา113. จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113. โจทก์จะบังคับจำเลยให้โอนที่ดินนั้นให้แก่โจทก์โดยโอนในนามของบุตรโจทก์ซึ่งเป็นคนไทยหาได้ไม่. และการยึดถือที่ดินของจำเลยเป็นการยึดถือแทนโจทก์. จำเลยก็จะอ้างว่าเป็นเจ้าของไม่ได้. ผลต่อไปต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 96. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2511).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายกับคนต่างด้าว: สัญญาจะซื้อขาย vs. สัญญาซื้อขาย, การครอบครอง, และความสมบูรณ์ของสัญญาจำนอง/เช่า
แม้สัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.ล.1 ข้อ 2 มีความว่านับแต่วันทำหนังสือสัญญาเป็นต้นไป. กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อ ฯลฯ แต่สัญญาข้อ 4 ก็มีความว่า โดยที่ผู้ซื้อเป็นนิติบุคคลสัญชาติต่างด้าวจะต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยเสียก่อนจึงเข้ารับโอนกรรมสิทธิ์ตามหน้าโฉนดได้ และเมื่อผู้ซื้อได้รับอนุญาตจากทางราชการให้เข้าถือกรรมสิทธิ์ได้แล้ว.ผู้ขายพร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ตามหน้าโฉนดให้เป็นของผู้ซื้อ. ดังนี้ แสดงว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังไม่โอนไปเป็นของจำเลยผู้ซื้อซึ่งเป็นนิติบุคคลสัญชาติต่างด้าว. โดยคู่สัญญามีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อไป. ถึงแม้ว่าผู้จะซื้อได้ชำระราคาและเข้าครอบครองทรัพย์ด้วย ก็เป็นการครอบครองแทนผู้จะขาย. เมื่อพิจารณาข้อความในสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.ล. 1 ทั้งหมด สัญญานี้เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น.
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 คนต่างด้าวซึ่งมีสนธิสัญญากับประเทศไทยอาจได้มาซึ่งที่ดินตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกำหนดโดยกฎกระทรวง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้อนุญาตแล้ว. จึงไม่เป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดที่ไม่ให้คนต่างด้าวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศไทย. ฉะนั้น สัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.ล. 1 ซึ่งมีข้อความว่าให้จำเลยต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงจะทำการซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กัน. จึงไม่เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหาเป็นโมฆะไม่. การที่ผู้จะขายกับผู้จะซื้อทำสัญญาจำนองและสัญญาเช่าทรัพย์พิพาทกันอีกชั้นหนึ่งนั้นเมื่อไม่มีผลทำให้กรรมสิทธิ์โอนไปจากผู้จะขาย ก็ถือไม่ได้ว่าผู้จะขายกับผู้จะซื้อมีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมาย ไม่ต้องให้ผู้จะซื้อขออนุญาต เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดิน.
ผู้จะขายตกลงจำนองทรัพย์ที่จะขายไว้กับผู้จะซื้อ และในสัญญาจำนองตกลงกันให้ถือเอาเงินที่ชำระราคาตามสัญญาจะซื้อขายเป็นเงินจำนอง เมื่อมีข้อสัญญาว่าให้การจำนองนี้เป็นประกันเงินที่ผู้จะขายอาจต้องคืนผู้จะซื้อเมื่อมีการเลิกสัญญาจะซื้อขายกัน ย่อมเป็นสัญญาที่มีมูลหนี้สมบูรณ์ใช้บังคับได้ และในกรณีที่ผู้จะซื้อตกลงเช่าทรัพย์พิพาทที่จะซื้อจากผู้จะขายสัญญาเช่าก็ย่อมปฏิบัติต่อกันได้ ซึ่งผู้จะซื้อซึ่งเป็นผู้เช่าย่อมใช้สิทธิตามสัญญานี้เข้าครอบครองใช้ทรัพย์พิพาท. ฉะนั้น สัญญาจำนองสัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ และไม่เป็นการอำพรางนิติกรรมสัญญาจะซื้อขาย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2511)
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 คนต่างด้าวซึ่งมีสนธิสัญญากับประเทศไทยอาจได้มาซึ่งที่ดินตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกำหนดโดยกฎกระทรวง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้อนุญาตแล้ว. จึงไม่เป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาดที่ไม่ให้คนต่างด้าวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศไทย. ฉะนั้น สัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.ล. 1 ซึ่งมีข้อความว่าให้จำเลยต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงจะทำการซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กัน. จึงไม่เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหาเป็นโมฆะไม่. การที่ผู้จะขายกับผู้จะซื้อทำสัญญาจำนองและสัญญาเช่าทรัพย์พิพาทกันอีกชั้นหนึ่งนั้นเมื่อไม่มีผลทำให้กรรมสิทธิ์โอนไปจากผู้จะขาย ก็ถือไม่ได้ว่าผู้จะขายกับผู้จะซื้อมีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมาย ไม่ต้องให้ผู้จะซื้อขออนุญาต เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดิน.
ผู้จะขายตกลงจำนองทรัพย์ที่จะขายไว้กับผู้จะซื้อ และในสัญญาจำนองตกลงกันให้ถือเอาเงินที่ชำระราคาตามสัญญาจะซื้อขายเป็นเงินจำนอง เมื่อมีข้อสัญญาว่าให้การจำนองนี้เป็นประกันเงินที่ผู้จะขายอาจต้องคืนผู้จะซื้อเมื่อมีการเลิกสัญญาจะซื้อขายกัน ย่อมเป็นสัญญาที่มีมูลหนี้สมบูรณ์ใช้บังคับได้ และในกรณีที่ผู้จะซื้อตกลงเช่าทรัพย์พิพาทที่จะซื้อจากผู้จะขายสัญญาเช่าก็ย่อมปฏิบัติต่อกันได้ ซึ่งผู้จะซื้อซึ่งเป็นผู้เช่าย่อมใช้สิทธิตามสัญญานี้เข้าครอบครองใช้ทรัพย์พิพาท. ฉะนั้น สัญญาจำนองสัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ และไม่เป็นการอำพรางนิติกรรมสัญญาจะซื้อขาย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้ผิดกฎหมาย: สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ แม้ผู้ซื้ออ้างสุจริต หากมีพฤติการณ์ส่อปกปิด
จำเลยทำสัญญาซื้อขายไม้สักตายแห้งขอนนอนกับกรมป่าไม้ แต่กลับไปทำการลักตัดไม้สดออกจากป่าโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ไม้สักที่จำเลยลักตัดจึงเป็นไม้ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย และเป็นของที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329, 1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329, 1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้ผิดกฎหมาย: สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ และไม้ต้องถูกริบ แม้ผู้ซื้ออ้างสุจริต
จำเลยทำสัญญาซื้อขายไม้สักตายแห้งขอนนอนกับกรมป่าไม้แต่กลับไปทำการลักตัดไม้สักสดออกจากป่าโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ไม้สักที่จำเลยลักตัดจึงเป็นไม้ที่ได้มาโดยผิดกฎหมายและเป็นของที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 74
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริตผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329,1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมายสัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริตผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329,1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมายสัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้ผิดกฎหมาย: สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ และไม้ต้องถูกริบ แม้ผู้ซื้ออ้างสุจริต
จำเลยทำสัญญาซื้อขายไม้สักตายแห้งขอนนอนกับกรมป่าไม้. แต่กลับไปทำการลักตัดไม้สักสดออกจากป่าโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้. ไม้สักที่จำเลยลักตัดจึงเป็นไม้ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย. และเป็นของที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 74.
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต. ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329,1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่.
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย.สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์.
ผู้ร้องรับซื้อไม้จากจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้าไม้ โดยมีพฤติการณ์ที่ยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องสุจริต. ผู้ร้องจะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1329,1332 ขึ้นมาอ้างเพื่อยึดถือไม้ไว้หาได้ไม่.
เมื่อวัตถุแห่งหนี้ของสัญญาซื้อขายเป็นของผิดกฎหมาย.สัญญาซื้อขายก็ไม่สมบูรณ์.