พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2181/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฐานะผู้สลักหลังเช็คคือผู้ค้ำประกัน (อาวัล) มีความรับผิดเช่นเดียวกับผู้สั่งจ่าย ไม่ใช่ผู้สลักหลังตามมาตรา 990
การสลักหลังเช็คซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ฐานะของผู้สลักหลังย่อมเป็นเพียงผู้ค้ำประกันการใช้เงินตามเช็คนั้น (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 และตามมาตรา 940 ผู้สลักหลังย่อมอยู่ในฐานะที่จะต้องผูกพันในเช็คที่พิพาทเป็นอย่างเดียวกันกับผู้สั่งจ่ายเช็คนั้น และย่อมต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็ค ตามมาตรา 967
ผู้ที่เซ็นชื่อสลักหลังเช็ค มีฐานะเป็นผู้รับประกันการใช้เงิน (อาวัล) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 921 มีความรับผิดเช่นเดียวกับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 หาใช่มีฐานะเป็นผู้สลักหลังไม่ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 990
ผู้ที่เซ็นชื่อสลักหลังเช็ค มีฐานะเป็นผู้รับประกันการใช้เงิน (อาวัล) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 921 มีความรับผิดเช่นเดียวกับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 หาใช่มีฐานะเป็นผู้สลักหลังไม่ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 990
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและการไม่เป็นผู้เสียหาย: โจทก์ไม่เสียหายจากการแจ้งความเท็จ เพราะยังมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากเช็ค
ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองแม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นก็ตาม
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อ ให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อ ให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่ เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อ ให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อ ให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่ เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973-1975/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความความผิดเช็ค: เริ่มนับเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ไม่ใช่เมื่อตรวจสอบสถานะ
ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็ค การที่ผู้ทรงเช็คลองนำเช็คพิพาทหนึ่งฉบับไปขอขึ้นเงินเพื่อดูว่าเช็คจะมีเงินหรือไม่ และผู้จัดการธนาคารแจ้งว่าให้นำเช็คมาขึ้นเงินในตอนบ่ายเพราะผู้สั่งจ่ายจะนำดร๊าฟท์มาเข้าบัญชี หาใช่เป็นการที่ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้นไม่ ในวันดังกล่าวความผิดจึงยังไม่เกิด อายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 จึงยังไม่เริ่มนับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและการฟ้องบังคับชำระหนี้ตามเช็คที่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน
ในกรณีที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การให้นัดสืบพยานโจทก์ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายมาศาลแต่ก็มิได้แจ้งให้ศาลทราบเสียก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 199 วรรคแรก กลับปล่อยให้ศาลสืบพยานโจทก์ไปจนหมดแล้วจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาและรับคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะพ้นเวลาที่กฎหมายอนุญาตตามมาตรา 199 วรรคแรกแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 2 ฉบับโดยบรรยายว่าทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความปฏิเสธหนี้ตามเช็คฉบับหลัง และปรากฏว่าโจทก์นำเช็คฉบับแรกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยปิดแล้ว แสดงว่าธนาคารผู้จ่ายได้งดเว้นการใช้หนี้ตามเช็คของจำเลยต่อไปแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับได้ แม้เช็คฉบับหลังนั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 959 และ 989
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 2 ฉบับโดยบรรยายว่าทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความปฏิเสธหนี้ตามเช็คฉบับหลัง และปรากฏว่าโจทก์นำเช็คฉบับแรกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยปิดแล้ว แสดงว่าธนาคารผู้จ่ายได้งดเว้นการใช้หนี้ตามเช็คของจำเลยต่อไปแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับได้ แม้เช็คฉบับหลังนั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 959 และ 989
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดยื่นคำให้การ – เพิกถอนกระบวนพิจารณา – เช็คไม่ถึงกำหนดชำระ – ฟ้องบังคับได้
ในกรณีที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายมาศาลแต่ก็มิได้แจ้งให้ศาลทราบเสียก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 199 วรรคแรก กลับปล่อยให้ศาลสืบพยานโจทก์ไปจนหมดแล้วจะมายื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาและรับคำให้การจำเลยไม่ได้ เพราะพ้นเวลาที่กฎหมายอนุญาตตามมาตรา 199วรรคแรกแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 2 ฉบับโดยบรรยายว่าทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความปฏิเสธหนี้ตามเช็คฉบับหลัง และปรากฏว่าโจทก์นำเช็คฉบับแรกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยปิดแล้ว แสดงว่าธนาคารผู้จ่ายได้งดเว้นการใช้หนี้ตามเช็คของจำเลยต่อไปแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับได้ แม้เช็คฉบับหลังนั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 959 และ 989
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 2 ฉบับโดยบรรยายว่าทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระเงินให้โจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความปฏิเสธหนี้ตามเช็คฉบับหลัง และปรากฏว่าโจทก์นำเช็คฉบับแรกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยปิดแล้ว แสดงว่าธนาคารผู้จ่ายได้งดเว้นการใช้หนี้ตามเช็คของจำเลยต่อไปแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับได้ แม้เช็คฉบับหลังนั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 959 และ 989
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนเช็คที่รู้ว่าไม่มีมูลหนี้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส. รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมา ส. ทิ้งงานนั้นแล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส. สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส. อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนเช็คที่รู้ว่าไม่มีมูลหนี้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส.รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมาส. ทิ้งงานนั้น แล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส.อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่ แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส.สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส.อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส.อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คโดยเจตนาทุจริตและอำนาจร้องทุกข์ของผู้เสียหายจากเช็ค
จำเลยออกเช็คให้กับร้าน ม. เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเจ้าของร้าน ม. ย่อมได้รับความเสียหาย ต. และ ก.สามีภรรยาเป็นเจ้าของร้าน ม. ร่วมกัน ก.จึงเป็นผู้เสียหายด้วยผู้หนึ่งมีอำนาจร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงาน ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คโดยไม่สุจริต ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้สลักหลังโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากผู้สั่งจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คโดยรู้ว่าไม่มีเงินในบัญชี แม้ใช้ชื่อผู้อื่นเป็นผู้สั่งจ่าย ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยเป็นผู้กรอกจำนวนเงินลงในเช็คซึ่งมีลายมือชื่อของส. เป็นผู้สั่งจ่ายและมอบให้โจทก์ร่วมเป็นการชำระหนี้ โดยจำเลยอ้างว่าชื่อของ ส. เป็นนามแฝงของจำเลยที่ใช้กับธนาคาร และจำเลยเคยใช้เช็คที่มีชื่อ ส. เป็นผู้สั่งจ่ายชำระหนี้ให้กับโจทก์ร่วม ซึ่งโจทก์ร่วมนำไปขึ้นเงินได้มาก่อนแล้วสองสามครั้ง เช่นนี้ เมื่อโจทก์ร่วมนำเช็คดังกล่าวนั้นไปขึ้นเงินจากธนาคารและธนาคารปฏิเสธการใช้เงิน จำเลยย่อมมีความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค