คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา และการสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับเมื่อไม่มีโทษปรับ
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 22 ที่ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เป็นบทบังคับในชั้นอุทธรณ์ มิใช่บทบัญญัติที่จะนำมาใช้ในชั้นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเล่นการพนัน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยมิได้ลงโทษปรับ ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมายด้วยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น และการสั่งจ่ายสินบนนำจับเมื่อไม่มีโทษปรับ
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาตรา 22 ที่ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เป็นบทบังคับในชั้นอุทธรณ์ มิใช่บทบัญญัติที่จะนำมาใช้ในชั้นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเล่นการพนัน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยมิได้ลงโทษปรับ ศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมายด้วยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาจำเลยอุทธรณ์ไม่ทันข้อเท็จจริงยุติตามศาลชั้นต้น ความผิดอนาจารเด็กหญิง
จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง จำเลยจะโต้เถียงขึ้นมาในชั้นฎีกาอีกไม่ได้ จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุ 8 ปี โดยการกอดจูบและใช้นิ้วแหย่เข้าไปในอวัยวะเพศหลายครั้ง โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสองมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึง 15 ปี ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกจำเลย8 เดือน เป็นการเหมาะสมแล้ว.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292-2293/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษา จำเลยฎีกาไม่ได้อุทธรณ์เรื่องข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา
คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 37,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใส่ความต่อบุคคลที่สามและการใช้สิทธิเพื่อป้องกันตนเอง หากศาลอุทธรณ์รับฟังว่าไม่มีเจตนาสุจริต ฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยแสดงข้อความในเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นการใส่ความโจทก์ต่อ ธ.โดยมุ่งหวังให้โจทก์ต้องถูกบริษัท บ. ไล่ออกจากงาน จึงไม่เป็นการแสดงข้อความเอกสารหมาย จ.1 โดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม จำเลยฎีกาว่า ธ.เป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ เป็นกรรมการและได้รับมอบอำนาจจากบริษัทบ.ให้ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลย โจทก์เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงจากธ. ได้ฟ้องคดีแพ่งกลั่นแกล้งยึดทรัพย์จำเลย จนจำเลยไม่อาจทำการค้าได้และยังแจ้งความดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ค นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยในที่สาธารณะเป็นเหตุให้จำเลยอับอายและเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิไปแจ้งความจริงที่จำเลยได้รับการกลั่นแกล้งจากโจทก์ต่อ ธ. และไปพบเกี่ยวกับหนี้สินที่จำเลยจะชำระให้แก่บริษัท บ. ทั้งนี้เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ถือว่าจำเลยใช้สิทธิโดยสุจริต เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218ภ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ แต่คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือน ดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2 เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัว เพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่โจทก์ไม่สามารถอุทธรณ์คดีอาญาได้เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหาเดิมที่ฟ้องไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,364, 365 (2) (3), 288, 289 (4), 80, 81, 90, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 และมาตรา 365 และความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงลงโทษตามมาตรา 288, 81 อันเป็นบทหนักให้จำคุก 1 ปี และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ยกคำขออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 ด้วย คงลงโทษในความผิดกรรมนี้ตามมาตรา 365 ให้จำคุก 6 เดือน และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289 (4) ประกอบด้วยมาตรา 80 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาข้อหาพยายามฆ่าและบุกรุก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362,364,365(2)(3),288,289(4),80,81,90,91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,81 และมาตรา365 และความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงลงโทษตามมาตรา 288,81 อันเป็นบทหนักให้จำคุก 1 ปี และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ยกคำขออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 28881 ด้วย คงลงโทษในความผิดกรรมนี้ตามมาตรา 365 ให้จำคุก 6เดือน และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,289(4) ประกอบด้วยมาตรา 80 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การรับจำนำทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่จำเลยรับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์ที่รับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การรับจำนำทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่จำเลยรับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์ที่รับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
of 303