พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลพลเรือนพิจารณาคดีลักทรัพย์เมื่อฟ้องรวมกับคดีบุกรุกทำลายทรัพย์สิน
คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำผิดฐานบุกรุกทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์ในวันตามฟ้องต่อเนื่องกันนั้น.เป็นคดีที่เกี่ยวพันกันตามความในมาตรา 14(2) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 ฉะนั้น เมื่อมีการฟ้องคดีในข้อหาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ต่อศาลพลเรือนแล้ว ศาลพลเรือนย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในข้อหาฐานลักทรัพย์ที่ฟ้องรวมกันมาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373-374/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์จำกัดเฉพาะคดีที่มีการอุทธรณ์ คดีที่ไม่อุทธรณ์ถือเป็นที่สิ้นสุด
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราออกนอกประเทศโดยมิได้รับอนุญาตสำนวนหนึ่ง และฐานนำคนต่างด้าวออกนอกราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตอีกสำนวนหนึ่ง และจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเฉพาะความผิดสำนวนแรกซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายต่างกับความผิดสำนวนหลังซึ่งจำเลยมิได้อุทธรณ์ คดีที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นอันเสร็จเด็ดขาดแล้ว ฉะนั้นศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373-374/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลจำกัดเฉพาะคดีที่อุทธรณ์ คดีที่ไม่อุทธรณ์ถือเป็นอันยุติแล้ว
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราออกนอกประเทศโดยมิได้รับอนุญาตสำนวนหนึ่งและฐานนำคนต่างด้าวออกนอกราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตอีกสำนวนหนึ่ง และจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเฉพาะความผิดสำนวนแรกซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายต่างกับความผิดสำนวนหลังซึ่งจำเลยมิได้อุทธรณ์คดีที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นอันเสร็จเด็ดขาดแล้ว ฉะนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์: ศาลมีอำนาจวินิจฉัย ชี้ขาด แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดอัตรา
ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเป็นผู้กำหนดและเรียกเก็บตามกฎหมายก็ตาม ถ้าไม่ตกลงกัน คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีก็มีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาล ซึ่งจะสั่งอนุญาตหรือให้ยกคำขอเสียก็ได้
อำนาจอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีเป็นอำนาจของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงเจ้าพนักงานของศาลเท่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
อำนาจอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีเป็นอำนาจของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงเจ้าพนักงานของศาลเท่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลเหนือค่าธรรมเนียมบังคับคดี: เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเป็นผู้กำหนดและเรียกเก็บตามกฎหมายก็ตาม ถ้าไม่ตกลงกันคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีก็มีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาล ซึ่งจะสั่งอนุญาตหรือให้ยกคำขอเสียก็ได้
อำนาจอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีเป็นอำนาจของศาลเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงเจ้าพนักงานของศาลเท่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
อำนาจอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีเป็นอำนาจของศาลเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงเจ้าพนักงานของศาลเท่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อฉลในการโอนทรัพย์สินและการบังคับคดี: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยการฉ้อฉลในชั้นบังคับคดีได้
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง โจทก์ต่อสู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยทั้งนั้นไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ก็เพื่ออุบายฉ้อโกงไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เท่านั้น ดังนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าอย่างน้อยก็เป็นการสมยอมกัน เป็นการฉ้อฉล การที่ศาลยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ใช่นอกฟ้องนอกประเด็น
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2505)
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้ว และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลย ดังนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2505)
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้ว และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลย ดังนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการฉ้อฉล: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องฉ้อฉลในชั้นขัดทรัพย์ได้ แม้ไม่ใช่ประเด็นหลัก
ผู้ร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องโจทก์ต่อสู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยทั้งนั้นไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ก็เพื่ออุบายฉ้อโกงไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เท่านั้น ดังนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าอย่างน้อยก็เป็นการสมยอมกัน เป็นการฉ้อฉล การที่ศาลยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ใช่นอกฟ้องนอกประเด็น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2505)
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้วได้และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลยดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้วได้และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลยดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ และการริบทรัพย์ของบุคคลที่มิได้กระทำผิด
เมื่อยังไม่มีรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศเป็นการแน่นอนและไม่มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ การวินิจฉัยบทกฎหมายใด ตลอดทั้งการตีความตามรัฐธรรมนูญ อันมิใช่เป็นเรื่องในวงงานของสภา ศาลย่อมมีอำนาจกระทำได้
พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2490 มาตรา 3 ที่ให้ริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นของบุคคลใดและเจ้าของจะได้รู้เห็นในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่นั้นได้บัญญัติในสมัยใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 ต่อมาได้ใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2492 และรัฐธรรมนูญฯ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2495 ข้อความที่ให้ริบทรัพย์ของบุคคลอื่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับหลังนี้จึงเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญฯฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2495มาตรา 113 เทียบได้กับคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเรื่องการริบทรัพย์ของบุคคลผู้มิได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวฯ
พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2490 มาตรา 3 ที่ให้ริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นของบุคคลใดและเจ้าของจะได้รู้เห็นในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่นั้นได้บัญญัติในสมัยใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 ต่อมาได้ใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2492 และรัฐธรรมนูญฯ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2495 ข้อความที่ให้ริบทรัพย์ของบุคคลอื่นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับหลังนี้จึงเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญฯฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2495มาตรา 113 เทียบได้กับคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเรื่องการริบทรัพย์ของบุคคลผู้มิได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจคณะกรรมการสำรวจที่ดินขัดรัฐธรรมนูญ: การวินิจฉัยชี้ขาดสิทธิในที่ดินเป็นอำนาจศาลแต่เพียงผู้เดียว
การที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการสำรวจการออกโฉนดที่ดิน พ.ศ. 2496 มาตรา 3, 4, 5, 7 ให้ก่อตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีอำนาจทำการสำรวจและสั่งยกเลิกการออกโฉนดที่ดินซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าได้กระทำไปโดยมิชอบด้วยความเป็นธรรมแล้วสั่งให้มีการออกโฉนดที่ดินใหม่ได้ตามความเป็นธรรม และให้ถือว่าคำสั่งคณะกรรมการเป็นเด็ดขาด จะนำไปฟ้องคดีเพื่อแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นมิได้นั้น เป็นการให้คณะกรรมการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นกรณีพิพาทระหว่างบุคคล ลบล้างกรรมสิทธิ์ของบุคคลที่มีอยู่แล้ว และก่อตั้งกรรมสิทธิ์ขึ้นใหม่ มีผลเท่ากับตั้งคณะบุคคลอื่นที่มิใช่ศษลให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีแยกไปจากอำนาจของศาลโดยชัดแจ้ง จึงเป็นการแย้งและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งบัญญัติว่า การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ
ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ซึ่งให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเรียกโฉนดที่ดินหรือเอกสารที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือเอกสารที่ได้จดแจ้งรายการทะเบียนที่ดินมาแก้ไขให้ถูกต้องหรือเพิกถอนเสียได้นั้นเป็นเพียงอำนาจบริหารเท่านั้น อธิบดีกรมที่ดินจะวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่คู่กรณีโต้แย้งสิทธิกันหาได้ไม่
ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ซึ่งให้อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเรียกโฉนดที่ดินหรือเอกสารที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือเอกสารที่ได้จดแจ้งรายการทะเบียนที่ดินมาแก้ไขให้ถูกต้องหรือเพิกถอนเสียได้นั้นเป็นเพียงอำนาจบริหารเท่านั้น อธิบดีกรมที่ดินจะวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่คู่กรณีโต้แย้งสิทธิกันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาหลังโจทก์ถึงแก่ความตาย: ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาต่อไปได้ในความผิดอันยอมความได้
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ แล้วตายลง ภายหลังที่ศาลฎีกาได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นเพื่อจะอ่านให้คู่ความฟังแล้วนั้น หาได้มีกฎหมายบัญญัติให้คดีอาญาระงับไปไม่ เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกาและโจทก์ตายเมื่อได้ดำเนินคดีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้วศาลฎีกาย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปได้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2507)