คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเฉลี่ยทรัพย์: เริ่มนับระยะเวลาหลังอายัดตามคำพิพากษา และสิทธิของโจทก์ที่ได้รับความยินยอมจากสามี
ในกรณีร้องขอเฉลี่ยทรัพย์มาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติห้ามมิให้ยื่นคำขอช้ากว่า 3 เดือนนับแต่วันอายัด นั้นมีความหมายถึงการอายัดตามคำพิพากษาเท่านั้น หาใช่มุ่งหมายให้นับแต่วันอายัดก่อนมีคำพิพากษาไม่
ภรรยาได้รับความยินยอมจากสามีให้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกหนี้สิน จนศาลพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้แล้ว เมื่อจำเลยถูกเจ้าหนี้อื่นยึดและอายัดทรัพย์ไว้ก่อนแล้วภรรยาผู้เป็นโจทก์ก็มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ โดยในชั้นขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยผู้นี้ ภรรยาไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามีซ้ำอีก
คำว่า 'ลูกหนี้ตามคำพิพากษา' ในมาตรา 290 นั้นหมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ถูกยึดทรัพย์ ไม่หมายความว่ามีทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาคนอื่นๆอยู่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การโต้แย้งคำพิพากษาเดิมในประเด็นส่วนแบ่งมรดก ถือเป็นการขอให้ลบล้างแก้ไขคำพิพากษาเดิม จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่โจทก์จำเลยและพี่น้องอีก 2 คน ๆ ละ 1 ส่วนเท่าเท่ากันโดยฟังว่า ที่แปลงนั้นเป็นมรดกของบิดาโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์เห็นว่าจำเลยได้รับมรดกมากเกินไปเป็นเหตุให้โจทก์ขาดเงินไปจำนวนหนึ่ง โจทก์จึงมาฟ้องให้จำเลยใช้เงินจำนวนนั้นแก่โจทก์โดยอ้างว่าที่ดินมรดกแปลงที่กล่าวแล้วเป็นสินสมรสของบิดาและมารดา จำเลยได้รับส่วนแบ่งมรดกเกินไป ดังนี้ เป็นการฟ้องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นเองว่าพิพากษาไม่ถูกการฟ้องใหม่จึงเท่ากับขอให้ลบล้างแก้ไขคำพิพากษาของศาลในคดีเดิม จึงเป็นการฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในประเด็นที่ศาลตัดสินเด็ดขาดแล้ว ถือเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเดิม
ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่โจทก์จำเลยและพี่น้องอีก 2 คน คนละ 1 ส่วนเท่าเท่ากัน โดยฟังว่า ที่แปลงนั้นเป็นมรดกของบิดาโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์เห็นว่าจำเลยได้รับมรดกมากเกินไป เป็นเหตุให้โจทก์ขาดเงินไปจำนวนหนึ่ง โจทก์จึงมาฟ้องให้จำเลยใช้เงินจำนวนนั้นแก่โจทก์โดยอ้างว่าที่ดินมรดกแปลงที่กล่าวแล้วเป็นสินสมรสของบิดาและมารดา จำเลยได้รับส่วนแบ่งมรดกเกินไป ดังนี้ เป็นการฟ้องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นเองว่าพิพากษาไม่ถูก การฟ้องใหม่จึงเท่ากับขอให้ลบล้างแก้ไขคำพิพากษาของศาลในคดีเดิม จึงเป็นการฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาต่อบุคคลภายนอก: สิทธิในที่ดินที่พิพาทจากการสมยอมทำสัญญา
จำเลย 2 คนสมคบกันเอาที่ดินของโจทก์ไปทำสัญญาปรานีประนอมยอมความกันในศาล จนศาลพิพากษาไปตามยอมแล้วนั้น
โจทก์ผู้เป็นเจ้าของ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 2 ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ได้ แต่จะให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งในคดีเดิมสัญญาปรานีประนอมยอมความตลอดจนคำพิพากษาท้ายยอมในคดีเดิมที่จำเลยทั้งสองสมคบกันสมยอมไว้นั้น ศาลย่อมไม่เพิกถอนให้ เพราะเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามธรรมดา ย่อมผูกพันคู่ความในคดีนั้น บุคคลภายนอกย่อมไม่มีความจำเป็นจะต้องให้เพิกถอน เมื่อโจทก์พิศูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลย ศาลก็พิพากษาให้ที่ดินนั้นเป็นของโจทก์และพิพากษาให้คำสั่งในคดีก่อนสัญญาปรานีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของที่ดินถูกสมคบกันเอาไปทำสัญญาประนีประนอม ศาลพิพากษาให้กรรมสิทธิ์คืนได้ แต่ไม่เพิกถอนคำพิพากษาเดิม
จำเลย 2 คนสมคบกันเอาที่ดินของโจทก์ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล จนศาลพิพากษาไปตามยอมแล้วนั้น
โจทก์ผู้เป็นเจ้าของ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 2 ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้ แต่จะให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งในคดีเดิมสัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนคำพิพากษาท้ายยอมในคดีเดิมที่จำเลยทั้งสองสมคบกันสมยอมไว้นั้น ศาลย่อมไม่เพิกถอนให้ เพราะเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามธรรมดา ย่อมผูกพันคู่ความในคดีนั้น บุคคลภายนอกย่อมไม่มีความจำเป็นจะต้องให้เพิกถอน เมื่อโจทก์พิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลย ศาลก็พิพากษาให้ที่ดินนั้นเป็นของโจทก์และพิพากษาให้คำสั่งในคดีก่อนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องเงินจากการบังคับคดี: ลำดับสิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าหนี้อื่น
เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อขายทอดตลาดแล้ว ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 278 ให้ทรัพย์ที่ยึดและเงินที่ขายทอดตลาดตกอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี ลูกหนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ไม่มีอำนาจจะกระทำการอันเป็นการเสื่อมเสียต่อการบังคับคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่นลูกหนี้ทำสัญญายกเงินที่ขายทอดตลาดให้แก่ผู้ใด ผู้นั้นก็หามีอำนาจที่จะยกสิทธินั้นมาอ้างเพื่อขัดขวางสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่บังคับคดีหรือขอเฉลี่ยทรัพย์ ได้ไม่ และเมื่อปรากฎว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ยึดทรัพย์ลูกหนี้ขายทอดตลาดแล้วเจ้าหนี้อื่นก็ไม่มีสิทธิขัดขวางสิทธิของเจ้าหนี้ที่ได้ดำเนินการบังคับดคีนั้น ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 290 ก็อนุญาตเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะร้องขอเฉลี่ยในเงินที่ขายทอดตลาดได้เท่านั้นจะไปขอยึดทรัพย์นั้นโดยวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ก็หาทำให้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1143/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีและการกระทำละเมิด: แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับ การเข้าทำที่ดินภายใต้คำพิพากษาเดิมไม่ถือเป็นการละเมิด
โจทก์จำเลยต่างแย่งกันเป็นเจ้าของนาพิพาทจนคดีถึงศาลโดยฝ่ายจำเลยอ้างว่าโจทก์เอาที่พิพาทตีชำระหนี้แก่จำเลยแต่โจทก์ปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะ จำเลยจึงเข้าทำนำพิพาทรายนี้ ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยเข้าทำโดยมีสิทธิที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลจังหวัดได้อยู่ในเวลานั้น แม้ภายหลังศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้โจทก์ชนะ และคดีถึงที่สุดเพียงนั้น ก็จะถือว่าการที่จำเลยเข้าทำนารายนี้เป็นการผิดกฎหมายอันจะประกอบให้เป็นการกระทำฐานละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ไม่ได้ โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอาศัยมูลละเมิดไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนของกลางในคดีพ.ร.บ.ยาสูบ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้คำพิพากษาให้คืนของกลางได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาสูบเป็นเงินไม่เกินพันบาท และให้ริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ขอให้คืนของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้คืนของกลาง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้ริบของกลางไม่ได้เพราะข้อที่จะควรริบยาสูบของกลางหรือไม่เป็นดุลยพินิจซึ่งเป็นข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1078/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อบุคคลภายนอก และอำนาจบังคับจำนอง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ที่ ว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ไม่ประสงค์จะให้คำชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีอาญามีผลผูกพันถึงบุคคลนอกคดีด้วย ฉะนั้นถ้าบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแต่เฉพาะในคดีส่วนแพ่งเท่านั้นแล้ว ก็จะนำหลักในมาตรา 46มาใช้แก่บุคคลภายนอกนั้นไม่ได้
ทำใบมอบฉันทะเพื่อยกที่ดินให้ผู้มีชื่อแล้ว ผู้มีชื่อกลับเอาใบมอบฉันทะนั้น ไปใช้ในการจำนองที่ดินนั้นแก่โจทก์ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับจำนองแก่เจ้าของที่ดินนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสัญญาประกันเมื่อจำเลยหลบหนีหลังฟังคำพิพากษา ศาลถือว่าสัญญาประกันสิ้นสุดโดยปริยาย
นายประกันตัวจำเลยซึ่งส่งตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาตามนัด
จำเลยมาฟังคำพิพากษาจบ และเซ็นนามในหน้าสำนวนแล้วหลบหนีไปในระหว่างที่ผู้พิพากษายังอยู่บนบัลลังก์ ดังนี้ถือว่าสัญญาประกันเดิมสิ้นสุดนายประกันพ้นความรับผิด
of 189