คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ถูกอายัดหลังศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
เงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายที่จำเลยวางศาลเมื่อจำเลยอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชนะคดีจำเลยก็ชอบที่จะร้องขอคืนเงินที่วางนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 251 (อ้างคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 487/2493)
คำสั่งศาลอายัดเงินของจำเลยนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดีอันเป็นต้นเหตุแห่งการอายัดเงินรายนี้ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็มิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวที่ศาลชั้นต้นได้สั่งอายัดไว้นั้นแต่ประการใด คำสั่งอายัดนั้นจึงเป็นอันยกเลิกไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(1) (อ้างฎีกาที่ 885/2490).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ถูกอายัด เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
เงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายที่จำเลยวางศาลเมื่อจำเลยอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชนะคดีจำเลยก็ชอบที่จะร้องขอคืนเงินที่วางนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251(อ้างคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 487/2493)
คำสั่งศาลอายัดเงินของจำเลยนั้น. เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดีอันเป็นต้นเหตุแห่งการอายัดเงินรายนี้และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็มิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวที่ศาลชั้นต้นได้สั่งอายัดไว้นั้นแต่ประการใด คำสั่งอายัดนั้นจึงเป็นอันยกเลิกไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(1)(อ้างฎีกาที่ 885/2490)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนภายใต้สถานการณ์ภัยอันตรายยังไม่หมดไป แม้แย่งอาวุธได้แล้ว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟัง
ผู้ตายเดินเข้ามาหาจำเลย จำเลยถามว่ามองทำไม ผู้ตายชกหน้าจำเลย 1 ที จำเลยทรุดนั่ง ผู้ตายชักมีดเงื้อแทงจำเลยอีก จำเลยแย่งมีดได้ก็เอามีดนั้นแทงผู้ตาย 1 ที ดังนี้ แม้จำเลยจะแย่งมีดได้ ก็หาได้หมายความว่าอันตรายหมดไปไม่ ถือว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ ซึ่งศาลฎีกาต้องถือตาม โจทก์ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกโดยอ้างการครอบครองเป็นส่วนสัด ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ หากไม่เกินคำขอเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอของโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะอุทธรณ์ แต่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทอันดับ 1, 2 ไม่ใช่มรดกของ ส. แต่เป็นของจำเลยก่นสร้างครอบครองมา และแม้จะฟังว่าเป็นมรดกของ ส. ก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีจึงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอันดับ 1, 2 อันเป็นมรดกของ ส. ร่วมกับจำเลยหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยได้แบ่งกันครอบครองที่พิพาทอันเป็นมรดกของ ส.คนละแปลง เป็นส่วนสัดมาช้านาน ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ มิได้ครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงร่วมกันดังที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่
โจทก์ฟ้องขอแบ่งครึ่งที่ดินมรดกของ ส. รวม 3 แปลง เฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 3 ได้ความว่าจำเลยขายไปก่อน โจทก์จึงไม่ติดใจว่ากล่าว คงพิพาทกันเฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 1 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 20 วา อันดับ 2 เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 84 วา ซึ่งมีราคาแปลงละ 4,000 บาทเท่ากัน ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์จำเลยได้รับที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาเท่ากันคนละแปลงตามที่ได้แบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัดจึงเท่ากับโจทก์ได้รับมรดกเพียงครึ่งหนึ่ง ไม่เป็นการนอกประเด็นและเกินคำขอของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกโดยอ้างการครอบครองปรปักษ์และแบ่งครอบครองเป็นส่วนสัด ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามคำขอของโจทก์จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะอุทธรณ์ แต่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทอันดับ 1,2 ไม่ใช่มรดกของ ส. แต่เป็นของจำเลยก่อสร้างครอบครองมา และแม้จะฟังว่าเป็นมรดกของ ส. ก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลย คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีจึงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอันดับ 1,2 อันเป็นมรดกของ ส.ร่วมกับจำเลยหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยได้แบ่งกันครอบครองที่พิพาทอันเป็นมรดกของ ส. คนละแปลง เป็นส่วนสัดมาช้านาน ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ มิได้ครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงร่วมกันดังที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่
โจทก์ฟ้องขอแบ่งครึ่งที่ดินมรดกของ ส. รวม 3 แปลง เฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 3 ได้ความว่าจำเลยขายไปก่อน โจทก์จึงไม่ติดใจว่ากล่าว คงพิพาทกันเฉพาะที่ดินแปลงอันดับ 1 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 20 วา อันดับ 2 เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 84 วา ซึ่งมีราคาแปลงละ 4,000 บาทเท่ากัน ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์จำเลยได้รับที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาเท่ากันคนละแปลงตามที่ได้แบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัด จึงเท่ากับโจทก์ได้รับมรดกเพียงครึ่งหนึ่ง ไม่เป็นการนอกประเด็นและเกินคำขอของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลแห่งคำพิพากษาอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาไม่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ส่งบุตรแก่โจทก์คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยส่งตัวบุตรให้โจทก์ แต่จำเลยขอให้งดการบังคับคดีไว้ อ้างว่าได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางขอให้พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ต่อมาคดีหลังถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องว่าจะให้จำเลยส่งบุตรแก่โจทก์ตามคำขอหรือไม่ ส่วนประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเรื่องว่าอำนาจปกครองควรจะอยู่แก่จำเลยผู้เป็นมารดาหรือไม่ ผลแห่งคำพิพากษาทั้งสองจึงเป็นคนละเรื่องกัน หาขัดแย้งกันไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลยแล้ว อำนาจปกครองที่มีอยู่แก่โจทก์แต่แรกก็ย่อมหมดไปในตัว จำเลยไม่ต้องส่งบุตรให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาเรื่องอำนาจปกครองบุตรต่อคำพิพากษาให้ส่งตัวบุตร แม้ศาลฎีกาสั่งให้ส่งตัวบุตร แต่หากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองแก่ฝ่ายอื่น ฝ่ายนั้นไม่ต้องส่งตัวบุตร
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ส่งบุตรแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยส่งตัวบุตรให้โจทก์ แต่จำเลยขอให้งดการบังคับคดีไว้ อ้างว่าได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางขอให้พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ต่อมาคดีหลังถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องว่าจะให้จำเลยส่งบุตรแก่โจทก์ตามคำขอหรือไม่ ส่วนประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเรื่องว่าอำนาจปกครองควรจะอยู่แก่จำเลยผู้เป็นมารดาหรือไม่ผลแห่งคำพิพากษาทั้งสองจึงเป็นคนละเรื่องกัน หาขัดแย้งกันไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลยแล้ว อำนาจปกครองที่มีอยู่แก่โจทก์แต่แรกก็ย่อมหมดไปในตัว จำเลยไม่ต้องส่งบุตรให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาแก้มากของศาลอุทธรณ์และการฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องเรียกที่นา กระบือ และเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายไป รวมกันทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,800 บาท และขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ คำขอนอกนั้นให้ยก จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่านาพิพาทเป็นของจำเลย ศาลอุทธรณ์ฟังว่านาพิพาทเป็นของจำเลย จึงพิพากษาแก้ ให้ยกคำขอของโจทก์ที่เกี่ยวกับนาพิพาทด้วย กรณีเช่นนี้ถือว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาแก้มากของศาลอุทธรณ์ทำให้เปิดฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องเรียกที่นา กระบือ และเงินที่โจทก์ทดรองจ่ายไป รวมกันทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,800 บาท และขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ คำขอนอกนั้นให้ยก จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่านาพิพาทเป็นของจำเลยศาลอุทธรณ์ฟังว่านาพิพาทเป็นของจำเลย จึงพิพากษาแก้ ให้ยกคำขอของโจทก์ที่เกี่ยวกับนาพิพาทด้วย กรณีเช่นนี้ถือว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986-987/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องกล่าวหาความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและเบิกความเท็จ ศาลพิจารณาบทฟ้องและข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟัง
การบรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ไม่ใช่ข้อกล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 137,267
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 180 แต่ให้ลงโทษกระทงหนักสำนวนละ 2 ปี มิได้กำหนดโทษตามมาตรา180 ไว้เท่าใด โดยเฉพาะกระทงความผิดตามมาตรา 180 นี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มิได้แก้บท และลงโทษจำคุกเพียง 1 ปี เป็นการแก้ไข จำเลยจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงเฉพาะกระทำความผิดตามมาตรา 180 นี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมสัญญากู้และจำเลยทั้งสองได้ใช้กลฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสัญญากู้ด้วยการสมคบกัน เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าได้ฟ้องกล่าวหาถึงจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ด้วย และเมื่อศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยได้ร่วมกระทำในการนำสัญญากู้ซึ่งเป็นเอกสารเท็จมาแสดงเป็นพยานหลักฐานในคดี ฉะนั้น ใครจะเป็นผู้นำสัญญากู้มายื่นจึงไม่ใช่ข้อสำคัญที่จำเลยจะอ้างขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดตามมาตรา 180 ได้
of 225