คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ประเด็นใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลชั้นต้นเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยได้
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยได้อ้างตนเอง เบิกความเป็นพยานว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท โดยออกเช็คไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคาร เป็นการ ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนเช็คพิพาท กลับกรอกวันสั่งจ่ายแล้วนำไปเรียกเก็บเงินคำเบิกความดังกล่าว เป็นเพียงเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานโจทก์ ว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ แล้วหรือไม่เท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรคสอง มิได้ก่อนให้เกินประเด็นแห่งคดีในศาลชั้นต้นการที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าโจทก์กรอกวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตซึ่งไม่ได้รับความยินยอมจากผู้สั่งจ่ายและในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คพิพาทศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ลงวันออกเช็คจึงไม่มีวันกระทำผิดพิพากษายกฟ้อง จะต้องถือข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46เช็คพิพาทจึงไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ข้ออ้างหักล้างพยานโจทก์ไม่ถือเป็นประเด็นใหม่ อุทธรณ์เรื่องเช็คพิพาทตกเป็นโมฆะ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คำเบิกความของจำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน เป็นเพียงเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานโจทก์ มิได้ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลาง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้หากมีคำขอริบไว้แต่แรก
ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดและที่ได้มาโดยได้กระทำความผิด แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้ว ทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาก็พิพากษาให้ริบของกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ งานตามโครงการ: ศาลฎีกายกอุทธรณ์ข้อโต้แย้งเรื่องวันสิ้นสุดสัญญา เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างรับฟังแล้ว
ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า งานที่โจทก์ทำเป็นงานตามโครงการและสัญญาจ้างที่โจทก์ทำไว้กับจำเลย ได้กำหนดวันสิ้นสุดของการจ้างไว้ตั้งแต่วันทำสัญญา โจทก์อุทธรณ์ว่างานที่จำเลยจ้างเป็นงานตามสัญญาจ้างทำของไม่ใช่งานตามโครงการ สัญญาจ้างโจทก์ไม่ได้กำหนดวันสิ้นสุดของการจ้างไว้ จำเลยมากรอกวันสิ้นสุดของการจ้างในภายหลังเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมา เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2977/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเรียกร้องหลังศาลชั้นต้น: อุทธรณ์ต้องยกประเด็นที่เคยว่ากันมาแล้วเท่านั้น
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์มีเพียงคนเดียว คือจำเลยที่ 2 ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ค้ำประกันมี 2 คนผู้ค้ำประกันคนแรกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 11,120 บาท ผู้ค้ำประกันคนที่สองคือจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาทจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 225 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2977/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์เรื่องผู้ค้ำประกันเพิ่มเติมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาคดี เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์มีเพียงคนเดียว คือจำเลยที่ 2ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ค้ำประกันมี 2 คนผู้ค้ำประกันคนแรกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน11,120 บาท ผู้ค้ำประกันคนที่สองคือจำเลยที่ 2ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาทจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2832/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนาย การยื่นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ และการแก้ไขข้อผิดระเบียบของศาล
จำเลยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายตั้ง ม. ให้เป็นทนายของจำเลยต่อศาลชั้นต้น ดังนั้น คำอุทธรณ์ของจำเลยซึ่ง ม. ลงชื่อในฐานะทนายจำเลยโดยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายเข้ามาในสำนวนย่อมเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ แต่การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นเป็นเรื่องผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์เสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่ ม. ยื่นคำร้องและใบมอบฉันทะให้เสมียนทนายฟังคำพิพากษาและถ่ายคำพิพากษาแทน ม. ในฐานะทนายจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ปรากฏว่ามีใบแต่งทนายที่จำเลยตั้ง ม. เป็นทนายจำเลยยื่นเข้ามาในสำนวนเป็นเหตุให้ ม. เข้าใจว่าจำเลยยื่นใบแต่งทนายตั้ง ม. เป็นทนายต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงได้ทำคำฟ้องอุทธรณ์ยื่นต่อศาลโดยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายเข้ามาเสียให้ถูกต้อง และเมื่อศาลชั้นต้นตรวจรับอุทธรณ์ก็ไม่ได้ทักท้วงว่า จำเลยมิได้ยื่นใบแต่งทนายตั้งม. เป็นทนายจำเลย เพื่อคืนคำฟ้องอุทธรณ์ให้จำเลยไปทำมาใหม่หรือแก้ไขเสียให้ถูกต้อง พฤติการณ์ของ ม. ดังกล่าวเห็นได้ว่ามิใช่จำเลยจงใจประวิงคดีหรือเอาเปรียบในเชิงคดี จึงมีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบนั้นเสียก่อน การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจพิพากษายกคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่สั่งให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบนั้นเสียก่อน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่สมควรศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์เสียใหม่ ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ในฐานะผู้อุทธรณ์ แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์ยกเลิกเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งถอนการยึดที่ดินที่โจทก์นำยึด ศาลชั้นต้นสั่งผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายตามคำร้องขอของผู้คัดค้านร่วม ผู้ร้องมิได้วางเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่าเป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทระหว่างอุทธรณ์ ผู้คัดค้านร่วมฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งพิพากษาแล้ว โดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้กล่าวถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวที่ผู้คัดค้านร่วมฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 วรรคสองประกอบมาตรา 260(1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านร่วม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากรที่ไม่ถูกต้อง และสิทธิในการฟ้องเรียกเงินคืน รวมถึงการอุทธรณ์ภาษีการค้า
คำสั่งทั่วไปของกรมศุลกากรที่ 47/2531 ที่ให้ใช้ราคานำเข้าสูงสุดก่อนรายที่พิจารณาไม่เกิน 1 เดือนนั้น เป็นเพียงระเบียบภายในของจำเลยในกรณีไม่อาจจะทราบราคาแท้จริงได้ตามกฎหมาย เมื่อทางโจทก์ได้เสนอหลักฐานให้ทราบแน่ชัดแล้วจึงไม่จำต้องอาศัยระเบียบดังกล่าวมาพิจารณา ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรฉบับที่ 77(พ.ศ. 2533) ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5(4)และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 กำหนดให้สินค้าบางชนิดต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำเข้าในราชอาณาจักรในอัตราร้อยละ 0.5ของราคาตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และจำเลยได้ออกคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 25/2533 วางระเบียบเกี่ยวกับการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษดังกล่าวและนำส่งกระทรวงพาณิชย์ในภายหลัง การที่จำเลยเรียกเก็บเงินนี้ก็โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายและคำสั่งดังกล่าวข้างต้น แต่จำเลยเรียกเก็บเงินโดยที่จำเลยกำหนดราคาผิดไป ฉะนั้นเมื่อจำเลยทำผิดจำเลยก็ต้องมีหน้าที่คืนแก่โจทก์ต่างกับกรณีต้องคืนเงินอากรขาเข้าตามมาตรา 19 หรือมาตรา 19 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9)พ.ศ. 2482 เพราะกรณีดังกล่าวเป็นกรณีเรียกไว้โดยชอบ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินค่าธรรมเนียมพิเศษจากจำเลยได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ตรวจสอบราคาสินค้าของโจทก์แล้วมีความเห็นให้เพิ่มราคา และเรียกอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม โจทก์ก็ได้แก้ไขจำนวนเงินราคา ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลในใบขนสินค้าขาเข้าตามรายการสำแดงที่จำเลยขอเพิ่มแล้ว ถือได้ว่ามีการประเมินภาษีการค้าโดยเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 87(2) แล้ว หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 30 เสียก่อน การที่โจทก์อุทธรณ์ต่อผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคาซึ่งไม่ใช่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 ไม่เป็นการอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดี อันเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลให้คืนเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2739/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์และการใช้ดุลพินิจของศาลในการดำเนินคดีต่อไป แม้มีการทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายในกำหนด มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น โดยได้ส่งคำสั่งแก่โจทก์โดยชอบแล้ว ตามป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ถือเป็นการทิ้งฟ้อง แต่แม้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแล้วศาลก็ยังมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจว่าจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยรับสำเนาอุทธรณ์และยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้ว ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจดำเนินคดีต่อไป
of 349