พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน: การรับฟังพยานหลักฐานการชำระเงินมัดจำและการไม่ยกประเด็นข้อกฎหมายใหม่ในชั้นฎีกา
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ระบุว่า ได้มีการชำระเงินค่าที่ดินกันบางส่วนนั้น แม้จะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังว่ามีการรับเงินดังกล่าวได้ เพราะหนังสือสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ใบรับตาม ป. รัษฎากร
ปัญหาว่าเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตาม พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ จะสามารถทำนิติกรรมโอนขายที่ดินนั้นให้กับบุคคลอื่นได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ถ้าข้อกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีดุลพินิจที่จะไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา142(5).(ที่มา-ส่งเสริม)
ปัญหาว่าเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตาม พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ จะสามารถทำนิติกรรมโอนขายที่ดินนั้นให้กับบุคคลอื่นได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ถ้าข้อกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีดุลพินิจที่จะไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา142(5).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบุริมสิทธิค่าเช่าที่ดิน - การยึดทรัพย์ชั่วคราว - การเปลี่ยนแปลงประเด็นในฎีกา
คำร้องของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิในค่าเช่านาเป็นข้าวเปลือก7เกวียน45ถังเหนือข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึดประเด็นแห่งคดีที่ผู้ร้องตั้งมาจึงมีเพียงประเด็นเดียวว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกจำนวน7เกวียน45ถังหรือไม่เท่านั้นที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องในฐานะผู้ให้เช่ายังไม่ได้รับชำระข้าวเปลือกเป็นค่าเช่านาไปจากจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามป.วิ.พ.มาตรา249. คำให้การของโจทก์ที่คัดค้านคำร้องของผู้ร้องว่าโจทก์ทราบว่าผู้ร้องได้ตวงข้าวเปลือกทำเป็นค่าเช่านาไปแล้วไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงจึงเคลือบคลุม โจทก์เพียงแต่นำยึดข้าวเปลือกของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษายังไม่ได้ดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์ดังกล่าวแต่อย่างใดดังนั้นหากผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือข้าวเปลือกที่ยึดไว้อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้นการนำยึดข้าวเปลือกไว้ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาของโจทก์ไม่มีผลทำให้บุริมสิทธิของผู้ร้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อคดีถึงที่สุดหากมีการดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์นั้นผู้ร้องย่อมมีสิทธิร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์ดังกล่าวได้ตามป.วิ.พ.มาตรา287ผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิขอคืนข้าวเปลือกที่โจทก์นำยึดไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามอุทธรณ์ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว และประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟัง
ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความไปแล้ว และย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาในประเด็นข้ออื่น เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีใหม่ จำเลยจะยกปัญหาดังกล่าวซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยยุติไปแล้วขึ้นอุทธรณ์อีกไม่ได้ ต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์จำเลยมิใช่นายจ้างลูกจ้างกันแล้ว กรณีโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่คดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จำนำคดีมาฟ้องยังศาลแรงงานได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย พิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จำเลยมีสิทธิ์เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชย ฯลฯ แก่โจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์จำเลยมิใช่นายจ้างลูกจ้างกันแล้ว กรณีโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่คดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จำนำคดีมาฟ้องยังศาลแรงงานได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย พิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จำเลยมีสิทธิ์เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชย ฯลฯ แก่โจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้เน้นหลักการเรื่องการยกประเด็นซ้ำในอุทธรณ์ และการไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมายแรงงาน
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นเหตุแห่งข้อหาให้ชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจอันอาจทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้เช่นนี้ถือว่าจำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตรงไหนอย่างไรจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่และที่จำเลยต่อสู้ในคำให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธว่าจำเลยอ้างอายุความในเรื่องใด เหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความทั้งๆที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินหลายประเภทรวมกันมาก็ถือเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา177วรรคสองเช่นกันศาลไม่ควรกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทการที่ศาลแรงงานกลางกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและยอมรับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จำเลยจะอุทธรณ์ได้ เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความหรือไม่แล้วแม้จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางและย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นข้ออื่นๆก็ถือว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องฟ้องเคลือบคลุมและอายุความนั้นไปแล้วคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาดังกล่าวย่อมเป็นอันยุติจำเลยจะยกขึ้นอุทธรณ์อีกไม่ได้ต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา144ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา31.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ที่มีเจตนาหักหนี้: ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยจับสุกรของโจทก์ร่วมไปโดยมีเจตนาเพื่อจะนำเงินที่ขายสุกรได้มาหักหนี้ที่โจทก์ร่วมเป็นหนี้จำเลยดังที่ได้เคยปฏิบัติต่อกันมาจำเลยไม่มีเป็นเจตนาทุจริตลักสุกรของโจทก์ร่วมดังนี้การที่โจทก์ร่วมฎีกาว่ามิได้ยินยอมให้จับสุกรสุกรยังเป็นกรรมสิทธิ์ของตนอยู่จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์และฎีกาที่หยิบยกคำพยานขึ้นกล่าวอ้างเพื่อให้ศาลฟังว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาขอริบของกลางที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่ริบ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย1ปี6เดือนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่ริบรถจักรยานสองล้อของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดแล้วโจทก์ยังฎีกาขอให้ริบอีกจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาและการพิจารณาบาดแผลสาหัสเพื่อลงโทษอาญา
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายก่อน ผู้เสียหายแย่งมีด จำเลยสะบัดหลุด แล้วแทงหน้าท้องผู้เสียหายและดึงปืนไปจากเอวผู้เสียหายและวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน การที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายชักปืนออกก่อนแล้วกระชากลูกเลื่อน จำเลยจึงเข้ากอดปล้ำและแทงหน้าท้องผู้เสียหายเป็นการป้องกัน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้มีดพกปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุต แทงมีบาดแผล 3 แห่ง คือ ที่ชายโครงขวา 2 แผล ขอบเรียบ 5 เซนติเมตร ลึกกล้ามเนื้อขาดเป็นรูปปากฉลาม ที่ด้านหลังซ้ายขอบเรียบ 1 เซนติเมตร แผลลึกที่หัวไหล่ซ้ายขอบเรียบ 1 เซนติเมตร แผลตื้นแพทย์ผู้ตรวจรักษาเบิกความว่า บาดแผลที่ 1 ลึกมากเป็นแผลสำคัญ ถูกกล้ามเนื้อและเส้นเลือด มีอาการเลือดออกมาก ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 7 - 8 วัน ก็ไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ระหว่างรักษาตัวผู้เสียหายว่า ไม่สามารถไปทำนาได้ตามปกติผู้เสียหายไปให้การในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุ 25 วัน ว่าบาดแผลภายนอกหายแล้วแต่ยังรู้สึกเจ็บข้างในแถวลิ้นปี่กับเอว เชื่อว่าผู้เสียหายมีอาการป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ซึ่งเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้มีดพกปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุต แทงมีบาดแผล 3 แห่ง คือ ที่ชายโครงขวา 2 แผล ขอบเรียบ 5 เซนติเมตร ลึกกล้ามเนื้อขาดเป็นรูปปากฉลาม ที่ด้านหลังซ้ายขอบเรียบ 1 เซนติเมตร แผลลึกที่หัวไหล่ซ้ายขอบเรียบ 1 เซนติเมตร แผลตื้นแพทย์ผู้ตรวจรักษาเบิกความว่า บาดแผลที่ 1 ลึกมากเป็นแผลสำคัญ ถูกกล้ามเนื้อและเส้นเลือด มีอาการเลือดออกมาก ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 7 - 8 วัน ก็ไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ระหว่างรักษาตัวผู้เสียหายว่า ไม่สามารถไปทำนาได้ตามปกติผู้เสียหายไปให้การในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุ 25 วัน ว่าบาดแผลภายนอกหายแล้วแต่ยังรู้สึกเจ็บข้างในแถวลิ้นปี่กับเอว เชื่อว่าผู้เสียหายมีอาการป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ซึ่งเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลายื่นฎีกาสำหรับผู้ถูกคุมขัง: การยื่นฎีกาหลังกำหนดระยะเวลา แม้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ก็เป็นเหตุให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน เมื่อวันครบกำหนดหนึ่งเดือนที่จำเลยจะยื่นฎีกาได้ตรงกับวันศุกร์และมิใช่วันหยุดราชการ จำเลยซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำก็ต้องยื่นฎีกาต่อพัสดีภายในระยะเวลาดังกล่าวเช่นกัน การที่จำเลยยื่นฎีกาต่อพัสดีเมื่อพ้นระยะเวลาหนึ่งเดือนแล้วแม้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้