พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งเจตนาออกเช็คเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่อาจฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน โดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์ร่วมโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เมื่อข้อฎีกาขอบจำเลยที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย มีใจความเป็นการโต้แย้งว่า จำเลยออกเช็ค โดยมิได้มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฎีกาของจำเลยย่อมเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่ใช้เป็นมัดจำประมูล กรณีเช็คไม่มีเงิน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกาศขายไม้ซุงโดยวิธีประมูลปิดซอง มีเงื่อนไขในการประมูลว่าผู้ยื่นประมูลจะต้องวางเงินมัดจำซองแพละ 10,000 บาท หากผู้ใดประมูลได้ผู้นั้นจะต้องชำระค่าไม้ซุง 15% ของแต่ละแพที่ประมูลได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศแจ้งผู้ประมูลได้หากพ้นกำหนดนี้โจทก์จะริบเงินมัดจำซองที่วางไว้ แต่มาคณะกรรมการของโจทก์ปิดซองประกาศแจ้งให้จำเลยทราบว่า จำเลยเป็นผู้ประมูลไม้ได้จำนวน 5 แพ แล้วโจทก์นำเช็คของจำเลยจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยวางเงินมัดจำประจำซองไว้ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินจำเลยไม่มีในบัญชี และครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน 15% ของไม้ทีประมูลได้จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ซึ่งจำเลยจะต้องถูกริบเงินมัดจำซอง 50,000 บาท แต่โจทก์ก็ไม่อาจริบได้เพราะเช็คนั้นไม่มีเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาท ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องโดยอ้างสิทธิที่จะริบมัดจำซึ่งได้แก่เช็ครายนี้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค เพราะถ้าไม่มีการนำเอาเช็คคราวนี้ไปวางมัดจำประจำซองแล้ว ก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการให้มัดจำไว้ตามมาตรา 377 ตามมาตรา 378(2) ฉะนั้น เมื่อเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องลงวันที่เกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 1002
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่ใช้เป็นมัดจำประมูล การขาดอายุความตามมาตรา 1002
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกาศขายไม้ซุงโดยวิธีประมูลปิดซองมีเงื่อนไขในการประมูลว่าผู้ยื่นประมูลจะต้องวางเงินมัดจำซองแพละ 10,000 บาท หากผู้ใดประมูลได้ผู้นั้นจะต้องชำระค่าไม้ซุง 15% ของแต่ละแพที่ประมูลได้ภายใน 15 วัน นับแต่ วันประกาศแจ้งผู้ประมูลได้หากพ้นกำหนดนี้โจทก์จะริบเงินมัดจำซอง ที่วางไว้ ต่อมาคณะกรรมการของโจทก์ปิดประกาศแจ้งให้จำเลยทราบว่า จำเลยเป็นผู้ประมูลไม้ได้จำนวน 5 แพ แล้วโจทก์นำเช็ค ของจำเลยจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยวางเงินมัดจำประจำซองไว้ ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินจำเลยไม่มีในบัญชี และครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน 15% ของไม้ที่ประมูลได้ จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ซึ่งจำเลยจะต้องถูกริบเงินมัดจำซอง 50,000 บาท แต่โจทก์ก็ไม่อาจริบได้เพราะเช็คนั้นไม่มีเงิน จึงขอให้ บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาท ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้อง โดยอ้างสิทธิที่จะริบมัดจำซึ่งได้แก่เช็ครายนี้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค เพราะถ้าไม่มีการนำเอา เช็ครายนี้ไปวางมัดจำประจำซองแล้ว ก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการ ให้มัดจำไว้ตามมาตรา 377 ตามมาตรา 378(2) ฉะนั้น เมื่อเช็ค ที่โจทก์นำมาฟ้องลงวันที่เกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 1002
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนขายพลอย: ศาลยึดตามคำพิพากษาคดีอาญาเดิมว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ผู้รับเช็คต้องรับผิดชอบเช็คเอง
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อในคำพิพากษาคดีอาญาซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลย ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับพลอยจากโจทก์ไปขายให้ผู้มีชื่อ ผู้มีชื่อชำระเงินค่าพลอยให้มาเป็นเช็ค จำเลยก็นำเช็คทั้งหมดมอบให้โจทก์ ดังนี้ในคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าพลอยจากจำเลย โจทก์จะเถียงข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับเช็คค่าพลอยไว้จากจำเลยยังไม่ครบถ้วนหาได้ไม่
จำเลยเป็นตัวแทนนำพลอยของโจทก์ไปขายผู้ซื้อชำระค่าพลอยให้มาเป็นเช็คลงวันสั่งจ่ายล่วงหน้า จำเลยก็นำเช็คทั้งหมดมามอบให้โจทก์ เช็คบางฉบับก่อนจะถึงกำหนดวันสั่งจ่าย ผู้ซื้อยังไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ขอให้จำเลยไปติดต่อกับโจทก์ขอเปลี่ยนเช็คใหม่โดยขยายเวลาออกไปอีก โจทก์ก็ยอม เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ ได้ใช้ให้จำเลยไปดูพลอยที่ขายในร้านผู้ซื้อเพื่อจะเอาคืนมา จำเลยก็ไปดูให้ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งของในร้านผู้ซื้อเหลืออยู่ จำเลยก็กลับมาแจ้งให้โจทก์ทราบ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเรื่องโจทก์จะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่ายเช็ค
จำเลยเป็นตัวแทนนำพลอยของโจทก์ไปขายผู้ซื้อชำระค่าพลอยให้มาเป็นเช็คลงวันสั่งจ่ายล่วงหน้า จำเลยก็นำเช็คทั้งหมดมามอบให้โจทก์ เช็คบางฉบับก่อนจะถึงกำหนดวันสั่งจ่าย ผู้ซื้อยังไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ขอให้จำเลยไปติดต่อกับโจทก์ขอเปลี่ยนเช็คใหม่โดยขยายเวลาออกไปอีก โจทก์ก็ยอม เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ ได้ใช้ให้จำเลยไปดูพลอยที่ขายในร้านผู้ซื้อเพื่อจะเอาคืนมา จำเลยก็ไปดูให้ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งของในร้านผู้ซื้อเหลืออยู่ จำเลยก็กลับมาแจ้งให้โจทก์ทราบ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเรื่องโจทก์จะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่ายเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ยืม มิใช่เพื่อประกันหรือใช้แทนสัญญา
จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมแล้วออกเช็คให้. โดยตกลงกันว่าเมื่อเช็คถึงกำหนด. ให้โจทก์ร่วมไปขึ้นเงินเป็นการชำระหนี้เงินยืม ย่อมเป็นการแสดงเจตนาจะใช้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้. มิใช่เพื่อประกันเงินกู้หรือเป็นการออกเช็คเพื่อใช้แทนสัญญากู้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887-1890/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยเช็คและการเลิกคดีอาญาตาม พ.ร.บ. เช็ค หากชำระหนี้ภายในกำหนด
ออกเช็คให้เป็นการชำระหนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยผู้ออกเช็คย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 แล้ว แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ชำระเงินด้วยการโอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์ร่วมผู้ทรงเช็ค เป็นการชำระหนี้ตามเช็คนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการชำระหนี้นั้นยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ดังนี้ คดีเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887-1890/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช็คหลังธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน: คดีเลิกกันตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 5 บัญญัติว่า "ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 3 ได้นำเงินตามจำนวนในเช็คไปชำระแก่ผู้ทรงเช็ค หรือแก่ธนาคารเพื่อจ่ายเงิน ตามเช็ค ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ธนาคารที่มีชื่อในเช็คบอกกล่าวให้ผู้ออกเช็คได้รับทราบว่าธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน ให้คดีเป็นอันเลิกกันตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา" ดังนี้ เมื่อคดีได้ความว่าธนาคารไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ออกเช็คทราบว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงยังไม่อาจเริ่มนับระยะเวลาตามมาตรา5 และไม่มีทางจะถือว่าพ้นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ได้ และเมื่อปรากฏว่าผู้ออกเช็คได้โอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ทรงเช็คเป็นการชำระหนี้ตามเช็คกันเรียบร้อยแล้ว คดีย่อมเป็นอันเลิกกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็ค แม้ไม่ใช่เจ้าของบัญชี
ส. เอาเช็คซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของบัญชีเช็คมาเขียนสั่งจ่ายเงิน ต่อมาโจทก์ผู้ทรงนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ เช่นนี้ ส. ผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามเนื้อความแห่งเช็คนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็ค แม้ไม่ใช่เจ้าของบัญชีเช็ค
ส. เอาเช็คซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของบัญชีเช็คมาเขียนสั่งจ่ายเงิน ต่อมาโจทก์ผู้ทรงนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ เช่นนี้ ส. ผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามเนื้อความแห่งเช็คนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเพื่อประกันการชำระหนี้ในวงแชร์ เมื่อชำระหนี้ครบแล้ว แม้ธนาคารปฏิเสธการใช้เงิน จำเลยไม่มีความผิด
จำเลยออกเช็คล่วงหน้าให้นายวงแชร์ เพื่อมอบให้แก่ผู้ที่ยังประมูลไม่ได้ยึดถือไว้เป็นการประกันการชำระหนี้ เมื่อจำเลยชำระเงินค่าแชร์ส่งมอบให้นายวงครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีมูลหนี้จะต้องชำระเงินตามเช็คที่ออกให้เป็นประกันฉบับนั้นอีกต่อไป แม้ธนาคารจะปฏิเสธการใช้เงิน จำเลยก็ไม่มีความผิด