พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,266 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย: หลักฐานเป็นหนังสือและผลผูกพัน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.538 ที่ว่าถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้นั้น มิได้หมายความแต่ผู้ที่จะต้องเป็นโจทก์ฟ้องร้องอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการต่อสู้คดีด้วย เพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
(อ้างฎีกาที่ 415/2501)
ผู้เช่าพร้อมที่จะทำสัญญาเช่าและลงชื่อในสัญญาในฐานะเป็นผู้เช่าแล้ว แต่ผู้ให้เช่าไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ให้เช่า เอกสารดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 538
การที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงเช่ากันและได้ชำระเงินกินเปล่ากับค่าเช่าให้โจทก์ไปแล้วนั้น หากจะได้ชำระไปจริงและได้ตกลงกันจริง แต่เมื่อไม่มีหลักฐานแห่งการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นฝ่ายที่จำเลยจะให้รับผิดตามสัญญา จำเลยก็ยกสิทธิแห่งการเช่าขึ้นอ้างยันต่อโจทก์ไม่ได้.
(อ้างฎีกาที่ 1175/2502)
(อ้างฎีกาที่ 415/2501)
ผู้เช่าพร้อมที่จะทำสัญญาเช่าและลงชื่อในสัญญาในฐานะเป็นผู้เช่าแล้ว แต่ผู้ให้เช่าไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ให้เช่า เอกสารดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 538
การที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงเช่ากันและได้ชำระเงินกินเปล่ากับค่าเช่าให้โจทก์ไปแล้วนั้น หากจะได้ชำระไปจริงและได้ตกลงกันจริง แต่เมื่อไม่มีหลักฐานแห่งการเช่าเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นฝ่ายที่จำเลยจะให้รับผิดตามสัญญา จำเลยก็ยกสิทธิแห่งการเช่าขึ้นอ้างยันต่อโจทก์ไม่ได้.
(อ้างฎีกาที่ 1175/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายจึงมีผลบังคับใช้
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538 บัญญัติว่าถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้นั้น มิได้หมายความแต่ผู้ที่จะต้องเป็นโจทก์ฟ้องร้องอย่างเดียวแต่หมายรวมถึงการต่อสู้คดีด้วยเพราะการบังคับคดีย่อมทำได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเอกสารสัญญาเช่าต่อกันตามที่กฎหมายบังคับไว้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้างการเช่าต่อกันหาได้ไม่
ผู้เช่าพร้อมที่จะทำสัญญาเช่า และลงชื่อในสัญญาในฐานะผู้เช่าแล้วแต่ผู้ให้เช่าไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ให้เช่า เอกสารดังกล่าวยังไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 538 ผู้เช่าจะยกสิทธิแห่งการเช่าขึ้นอ้างยันผู้ให้เช่าไม่ได้
ผู้เช่าพร้อมที่จะทำสัญญาเช่า และลงชื่อในสัญญาในฐานะผู้เช่าแล้วแต่ผู้ให้เช่าไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ให้เช่า เอกสารดังกล่าวยังไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 538 ผู้เช่าจะยกสิทธิแห่งการเช่าขึ้นอ้างยันผู้ให้เช่าไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1553/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าต่อ: คำมั่นสัญญาเช่าต่อระงับเมื่อมีการเช่าต่อเนื่องโดยไม่มีกำหนด
ทำสัญญาเช่าที่ดินกัน 3 ปี ท้ายสัญญาระบุว่า "3 ปีแล้วทำสัญญาต่อ" นั้น ข้อความนี้แม้จะถือเอาว่าเป็นคำมั่นอันจะพึงบังคับกันได้ ก็แต่เพียงเรียกร้องให้ผู้ให้เช่าทำสัญญาเช่าใหม่เมื่อสัญญาเช่าเดิมสิ้นอายุแล้วเท่านั้น เมื่อครบกำหนดการเช่า 3 ปี ผู้เช่ายังคงอยู่ในที่เช่าและชำระค่าเช่าตลอดมาตามกฎหมาย ก็เท่ากับเป็นการเช่ากับโดยไม่มีกำหนดเวลา คำมั่นที่มีอยู่จึงระงับไปในตัว ผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1553/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าต่อท้ายสัญญาเดิม สิทธิผู้เช่าเมื่อสัญญาหมดอายุ
ทำสัญญาเช่าที่ดินกัน 3 ปี ท้ายสัญญาระบุว่า "3 ปีแล้วทำสัญญาต่อ" นั้น ข้อความนี้แม้จะถือเอาว่าเป็นคำมั่นอันจะพึงบังคับกันได้ก็แต่เพียงเรียกร้องให้ผู้ให้เช่าทำสัญญาเช่าใหม่ เมื่อสัญญาเช่าเดิมสิ้นอายุแล้วเท่านั้น เมื่อครบกำหนดการเช่า 3 ปีแล้ว ผู้เช่ายังคงอยู่ในที่เช่าและชำระค่าเช่าตลอดมาตามกฎหมายก็เท่ากับเป็นการเช่ากันโดยไม่มีกำหนดเวลา คำมั่นที่มีอยู่จึงระงับไปในตัว ผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1224/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อลูกหนี้ล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจปฏิเสธสิทธิของผู้อื่นได้
จำเลยเช่าที่ดินของผู้ร้องเพื่อปลูกสร้างเป็นโกดังเก็บสินค้าๆ มีเงื่อนไขในสัญญาเช่าว่า เมื่อสัญญาเช่าเลิกลงเพราะเหตุใดๆ บรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้นตกเป็นทรัพย์สินของผู้ให้เช่า และมีเงื่อนไขในสัญญาเช่าว่า เมื่อผู้เช่าถูกฟ้องคดีล้มละลาย ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ต่อมาจำเลยถูกฟ้องคดีล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ผู้ร้องจึงขอยกเลิกสัญญาเช่นรายนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอ้างมาตรา ม.122 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าของผู้ร้องหาได้ไม่ เพราะความในมาตราดังกล่าวหมายถึงทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมา ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญยาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป การที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามข้อตกลงในสัญญาเช่าบอกเลิกสัญญานั้น เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป หาใช่สิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ จึงไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาว่าสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไปเช่นนี้ มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1224/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าหลังล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อำนาจพิจารณา
จำเลยเช่าที่ดินของผู้ร้อง เพื่อปลูกสร้างเป็นโกดังเก็บสินค้า มีเงื่อนไขในสัญญาเช่าว่า เมื่อสัญญาเช่าเลิกลงเพราะเหตุใดๆ บรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้นตกเป็นทรัพย์สินของผู้ให้เช่า และมีเงื่อนไขในสัญญาเช่าว่า เมื่อผู้เช่าถูกฟ้องคดีล้มละลาย ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าได้ต่อมาจำเลยถูกฟ้องคดีล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเช่ารายนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอ้าง มาตรา 122 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าของผู้ร้องหาได้ไม่
ความใน พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 122 นั้นหมายถึงทรัพย์สิน หรือสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ใช่ทรัพย์สิน หรือสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงรับไป การที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามข้อตกลงในสัญญาเช่าบอกเลิกสัญญานั้น เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป หาใช่สิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ จึงไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาว่าสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไปเช่นนี้มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่
ความใน พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 122 นั้นหมายถึงทรัพย์สิน หรือสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ใช่ทรัพย์สิน หรือสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงรับไป การที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามข้อตกลงในสัญญาเช่าบอกเลิกสัญญานั้น เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป หาใช่สิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ จึงไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาว่าสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไปเช่นนี้มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ผู้เช่า: เจ้าของกรรมสิทธิ์ฟ้องได้แม้มีการมอบอำนาจและมีผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
ล.เป็นบิดา ฉ. เป็นมารดาของ ภ.พ.และ อ. เมื่อ ล.ตายศึกพิพาทตกเป็นมรดกแก่ ฉ.ภ.พ. และ อ. ผลที่สุดเมื่อ ฉ. ตายอีกก็ตกเป็นมรดกแก่ ภ.พ. และอ. พ. และอ. มอบให้ ภ. เป็นผู้จัดการ ภ. มอบอำนาจให้ ส. เป็นผู้จัดการแทนอีกทอดหนึ่ง หนังสือมอบอำนาจจะเขียนว่าตึกพิพาทเป็นมรดกของ ล. หรือ ฉ. ก็หามีความหมายผิดกันไม่ และการที่เจ้าของกรรมสิทธิ์มอบอำนาจทั่วไปแก่ ส.นี้ก็ไม่ใช่เรื่องผู้จัดการมรดก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1715 และ 1358 ไม่ตรงกับรูปคดีนี้
เมื่อทำสัญญาเช่าก็เชียนชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ว่าเป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ 2 เมื่อนำสืบก็รับว่ามีคนภายนอกถือหุ้นอยู่ด้วยไม่เกินร้อยละสิบ ที่ตั้งทำการของจำเลยที่ 2 ก็คือตึกรายพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าไป เป็นเหตุผลเพียงพอให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์ระบุชัดในคำฟ้องเรียกบริษัทเป็นจำเลยที่ 2 โดยบรรยายด้วยว่าเป็นนิติบุคคล คำขอให้ขับไล่จำเลยย่อมหมายถึงจำเลยทั้งสอง
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกรายพิพาทในขณะที่ฟ้องขับไล่ ไม่จำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดถึงความเป็นมาแห่งตึกนี้
คำฟ้องระบุชื่อจำเลยทั้งสองไว้ในตอนต้นแล้ว ตอนต่อๆ ไปแม้จะใช้คำว่าจำเลยก็มีความหมายว่าจำเลยทั้งสอง
เมื่อทำสัญญาเช่าก็เชียนชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ว่าเป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ 2 เมื่อนำสืบก็รับว่ามีคนภายนอกถือหุ้นอยู่ด้วยไม่เกินร้อยละสิบ ที่ตั้งทำการของจำเลยที่ 2 ก็คือตึกรายพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าไป เป็นเหตุผลเพียงพอให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์ระบุชัดในคำฟ้องเรียกบริษัทเป็นจำเลยที่ 2 โดยบรรยายด้วยว่าเป็นนิติบุคคล คำขอให้ขับไล่จำเลยย่อมหมายถึงจำเลยทั้งสอง
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกรายพิพาทในขณะที่ฟ้องขับไล่ ไม่จำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดถึงความเป็นมาแห่งตึกนี้
คำฟ้องระบุชื่อจำเลยทั้งสองไว้ในตอนต้นแล้ว ตอนต่อๆ ไปแม้จะใช้คำว่าจำเลยก็มีความหมายว่าจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้เช่า โดยระบุชัดถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และอำนาจฟ้อง
ล. เป็นบิดา ฉ.เป็นมารดาของภ.พ.และอ. เมื่อ ล. ตาย ตึกพิพาทก็ตกเป็นมรดกแก่ฉ.ภ.พ.และอ. ผลที่สุดเมื่อฉ. ตายอีก ก็ตกเป็นมรดกแก่ภ.พ.และอ. พ.และอ.มอบให้ภ. เป็นผู้จัดการภ.มอบอำนาจให้ส. เป็นผู้จัดการแทนอีกทอดหนึ่งหนังสือมอบอำนาจจะเขียนว่าตึกพิพาทเป็นมรดกของล.หรือฉ. ก็หามีความหมายผิดกันไม่ และการที่เจ้าของกรรมสิทธิ์มอบอำนาจทั่วไปแก่ ส. นี้ก็ไม่ใช่เรื่องผู้จัดการมรดก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1715 และ1358 ไม่ต้องกับรูปคดีนี้
เมื่อทำสัญญาเช่าก็เขียนชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ว่าเป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ 2 เมื่อนำสืบก็รับว่ามีคนภายนอกถือหุ้นอยู่ด้วยไม่เกินร้อยละสิบ ที่ตั้งทำการของจำเลยที่ 2 ก็คือตึกรายพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าไปเป็นเหตุผลเพียงพอให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์ระบุชัดในคำฟ้องเรียกบริษัทเป็นจำเลยที่ 2 โดยบรรยายด้วยว่าเป็นนิติบุคคล คำขอให้ขับไล่จำเลยย่อมหมายถึงจำเลยทั้งสอง
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกรายพิพาทในขณะที่ฟ้องขับไล่ ไม่จำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดถึงความเป็นมาแห่งตึกนี้
คำฟ้องระบุชื่อจำเลยทั้งสองไว้ในตอนต้นแล้ว ตอนต่อๆไปแม้จะใช้คำว่าจำเลยก็มีความหมายว่าจำเลยทั้งสอง
เมื่อทำสัญญาเช่าก็เขียนชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ว่าเป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ 2 เมื่อนำสืบก็รับว่ามีคนภายนอกถือหุ้นอยู่ด้วยไม่เกินร้อยละสิบ ที่ตั้งทำการของจำเลยที่ 2 ก็คือตึกรายพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าไปเป็นเหตุผลเพียงพอให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์ระบุชัดในคำฟ้องเรียกบริษัทเป็นจำเลยที่ 2 โดยบรรยายด้วยว่าเป็นนิติบุคคล คำขอให้ขับไล่จำเลยย่อมหมายถึงจำเลยทั้งสอง
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกรายพิพาทในขณะที่ฟ้องขับไล่ ไม่จำต้องบรรยายฟ้องโดยละเอียดถึงความเป็นมาแห่งตึกนี้
คำฟ้องระบุชื่อจำเลยทั้งสองไว้ในตอนต้นแล้ว ตอนต่อๆไปแม้จะใช้คำว่าจำเลยก็มีความหมายว่าจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าและการโอนสิทธิสัญญาเช่า: สัญญาเช่าเดิมไม่ผูกพันผู้เช่ารายใหม่ที่ได้รับสิทธิจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
โจทก์ให้บุคคลที่ 3 เช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารให้เช่าช่วง มีกำหนด 10 ปี โดยมีข้อสัญญาว่า เมื่อครบ 10 ปีแล้ว อาคารตกเป็นของโจทก์ โดยบุคคลที่ 3 ผู้เช่าที่ดินจะไม่กระทำให้อาคารที่ปลูกสร้างนี้มีภาระผูกพันกับบุคคลอื่นต่อไป เมื่อครบ 10 ปี ปรากฏว่า จำเลยเช่าอาคารนี้จากบุคคลที่ 3 นั้นเพื่ออยู่อาศัยมา 7 ปีแล้ว ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ ดังนี้ โจทก์จะอาศัยสัญญาที่โจทก์ทำกับบุคคลที่ 3 ในข้อที่ว่าเมื่อครบ 10 ปี บุคคลที่ 3 จะไม่กระทำให้อาคารนี้มีภาระผูกพันกับบุคคลอื่นต่อไปมาขับไล่จำเลยหาได้ไม่ เพราะโจทก์ผู้รับโอนอาคารพิพาทจากบุคคลที่ 3 ย่อมรับไป ทั้งสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่ 3 ซึ่งมีต่อจำเลยนั้นด้วย สัญญาที่โจทก์ทำไว้กับบุคคลที่ 3 นั้น ไม่ผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคนนอกสัญญากล่าวในแง่การเช่า จำเลยเช่าจากบุคคลภายนอกโดยบุคคลภายนอกได้รับสิทธิให้เช่ามาจากโจทก์ แต่เมื่อจำเลยเช่าแล้ว จำเลยได้รับสิทธิเพิ่มเติมโดยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่ากับสิทธิการครอบครองก่อนสัญญาเช่า: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากโรงที่ปลูกก่อนทำสัญญา
ในกรณีที่จำเลยผู้เช่าได้ปลูกโรงของจำเลยไว้ในที่พิพาทก่อนที่โจทก์ได้มาทำสัญญาเช่าที่พิพาทต่อเจ้าของที่พิพาทนั้น โจทก์จะอาศัยสิทธิสัญญาเช่านั้นมาฟ้องขับไล่จำเลย เพื่อโจทก์จะได้เข้าครอบครองที่พิพาทนั้นหาได้ไม่ โจทก์เป็นเพียงผู้มีสิทธิเช่า ยังไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทที่เช่ามานั้นเลย ไม่มีอำนาจฟ้อง