พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการวางเงินและหาประกันตามกฎหมาย มิฉะนั้นศาลชอบที่จะยกคำร้อง
ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งได้ และการที่ศาลอุทธรณ์สั่งตามมาตรา 234โดยมิได้กำหนดวันเวลาให้ผู้อุทธรณ์ปฏิบัติ ก็ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะตามมาตรา 234 มิได้บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องปฏิบัติเช่นนั้น บทบัญญัติมาตรานี้บังคับผู้อุทธรณ์แต่เพียงผู้เดียวให้ต้องปฏิบัติหาใช่เป็นหน้าที่ของศาลไม่ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์เป็นการออกคำสั่งซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21(2) ชอบที่ผู้พิพากษาคนเดียวจะสั่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2689/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลกรณีอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษาพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(1) บัญญัติให้คิดค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลายห้าสิบบาทจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ดังกล่าว 50 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2676/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาให้ริบและทำลายของกลางในคดีสิ่งแวดล้อม: การอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน และปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมประพฤติจำเลยริบของกลาง และให้ทำลายปูนซีเมนต์และบ่อปูนซีเมนต์ของกลางศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่าไม่สมควรริบและทำลายลานปูนซีเมนต์และบ่อปูนซีเมนต์ของกลางอันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีแชร์: ทุนทรัพย์แยกรายบุคคลทำให้ไม่อุทธรณ์ได้
มูลหนี้ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกจากจำเลยตามสัญญาเล่นแชร์ที่โจทก์แต่ละคนและจำเลยต่างร่วมเล่นแชร์ด้วยกันโดยมีนาง ฉ.ซึ่งหลบหนีไปแล้วเป็นนายวงแชร์ เป็นมูลหนี้ที่แยกต่างหากจากกันคือจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคน 9,510 บาท โจทก์ทั้งเก้ามิได้ฟ้องในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ร่วมของจำเลย ทุนทรัพย์ในคดีของโจทก์แต่ละคนจึงแยกต่างหากจากกันคนละ 9,510 บาท คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224
จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงจึงน่ารับฟังดังที่จำเลยต่อสู้ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องรับผิดเงินค่าแชร์ที่ประมูลไปแล้วให้แก่โจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยแล้ว ศาลฎีกาก็พิจารณาข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปไม่ได้
จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงจึงน่ารับฟังดังที่จำเลยต่อสู้ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องรับผิดเงินค่าแชร์ที่ประมูลไปแล้วให้แก่โจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยแล้ว ศาลฎีกาก็พิจารณาข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีแชร์: มูลหนี้แยกต่างหาก, ทุนทรัพย์แต่ละโจทก์, ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
มูลหนี้ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามสัญญาเล่นแชร์ที่โจทก์แต่ละคนและจำเลยต่างร่วมเล่นแชร์ด้วยกันโดย มีฉ. เป็นนายวงแชร์ เป็นมูลหนี้ที่แยกต่างหากจากกันได้คือจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคนคนละ 9,510 บาท โจทก์ทั้งเก้ามิได้ฟ้องในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้รวมของจำเลย ทุนทรัพย์ในคดีของโจทก์แต่ละคนจึงแยกต่างหากจากกันคนละ 9,510 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2607/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากไม่ได้รับอนุญาตในชั้นอุทธรณ์
คดีโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 เมื่อในชั้นอุทธรณ์ไม่มีการอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีขับไล่ผู้เช่า: การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงและประเด็นที่มิได้ยกขึ้นสู่ศาล
จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติม ตึกแถวพิพาทเพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้ มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่ จึงเป็นสัญญา ต่างตอบแทนชนิดพิเศษ ยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้าง ต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่า สัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้น รับฟังมาว่าการกระทำของจำเลยก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและ ทำการค้าของจำเลยเอง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การโดยยกข้อโต้เถียงในเรื่อง แปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าไว้ด้วย จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลสูงสมควรวินิจฉัยนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การ ดังกล่าวไว้ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีเช่า: การโต้แย้งข้อเท็จจริงแตกต่างจากศาลชั้นต้นต้องห้ามตามมาตรา 224
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายของข้อความในสัญญาเช่าต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่ากรณีที่จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและทำการค้าของจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาท ก็เพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้างต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2195/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ชำระราคาทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามสัญญา แม้มีการอุทธรณ์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 515 ผู้ซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดมีหน้าที่ที่จะต้องใช้ราคาเมื่อมีการตกลงซื้อขาย หรือตามเวลาที่กำหนดไว้ในคำโฆษณาการบอกขายหรือตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดเงื่อนไขในการขายไว้ด้านหลังประกาศขายทอดตลาดว่า เมื่อตกลงรับซื้อแล้วให้ผู้ซื้อวางเงินไว้ก่อนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของราคาซื้อและทำสัญญาใช้เงินที่ค้างชำระภายในเวลาไม่เกิน 15 วัน และตามหนังสือสัญญาซึ่งผู้ซื้อทรัพย์ได้ทำไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลังที่ซื้อทรัพย์ได้แล้วก็ระบุว่า เงินส่วนที่เหลือจะนำมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ทำหนังสือสัญญานี้เป็นต้นไป ผู้ซื้อทรัพย์จึงต้องผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว แม้จำเลยจะยื่นอุทธรณ์คัดค้านขอให้ทำการทอดตลาดใหม่ก็ตาม ผู้ซื้อทรัพย์ก็ต้องนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระตามกำหนด จะนำมาชำระภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำพิพากษาและการพิจารณาอุทธรณ์หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีแรงงาน
ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขอให้พิจารณาใหม่ ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดจึงอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันได้ ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมแล้ว แม้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนกระบวนพิจารณาและคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง แต่ศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาหรือคำสั่งอื่น ๆ ของศาลฎีกา แม้โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย และศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้ถอนอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงต้องพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป เมื่อโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจนศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมไปแล้ว ข้อโต้แย้งตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงหมดไปไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์.