พบผลลัพธ์ทั้งหมด 344 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2421/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งทนายความ: ผู้ร้องยินยอมให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยทนายความที่แต่งตั้งโดยชอบ เมื่อไม่โต้แย้งในชั้นต้น จะมาโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์/ฎีกาไม่ได้
ทนายผู้คัดค้านยื่นใบแต่งทนายความลงชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้แต่งทนายพร้อมกับยื่นคำคัดค้านไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องได้คัดค้านว่าผู้คัดค้านไม่ได้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งทนายความโดยชอบและขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนแต่อย่างไร แต่กลับยินยอมให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณามาโดยตลอดจนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี ผู้ร้องจึงยกขึ้นคัดค้านในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การขัดขวางกระบวนพิจารณาโดยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล
ศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดมิให้โจทก์ลุกขึ้นแถลงการณ์ใด ๆ ใน ขณะที่ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาอยู่ อันจะเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว เหตุที่ออกข้อกำหนดเพราะโจทก์ได้กระทำหลายครั้งแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดดังกล่าว โจทก์ก็ยังลุกขึ้น แถลงโดยศาลมิได้อนุญาต และขอให้ศาลบันทึกในรายงาน กระบวนพิจารณาอีกจึงเป็นการละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดอำนาจศาลและการขัดขวางกระบวนพิจารณา ศาลฎีกายืนโทษปรับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์มิได้ยกเลิกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30,31 และมาตรา 33คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทำให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นต่อไปได้ เพราะโจทก์ได้คัดค้านไว้แล้วขอให้ยกเลิกข้อกำหนดของศาลชั้นต้นเสียนั้น โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่ศาลออกข้อกำหนดก็เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามความเที่ยงธรรมและรวดเร็ว ที่ศาลชั้นต้นออกข้อกำหนดมิให้โจทก์ลุกขึ้นแถลงการณ์ใด ๆ ในขณะที่ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาอยู่อันจะเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว เหตุที่ออกข้อกำหนดเพราะโจทก์ได้กระทำหลายครั้งแล้วเมื่อศาลชั้นต้นออกข้อกำหนด โจทก์มิได้นำพาต่อข้อกำหนดของศาลยังลุกขึ้นแถลงโดยศาลมิได้อนุญาต และขอให้ศาลบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาอีก โจทก์ย่อมทราบถึงการกระทำของตนดีว่าเป็นการขัดขวางทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็วย่อมเป็นการละเมิดอำนาจศาลจะอ้างว่ากระทำไปโดยไม่รู้ว่ามีความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2017/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหนี้ร่วมที่ผิดระเบียบ หากจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยมิใช่ความผิดของตน
เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 5 ยื่นคำให้การในกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่สั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การจนถึงชั้นพิพากษาย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่จะสั่งให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดในมูลหนี้ละเมิด จึงเป็นหนี้ร่วมที่มิอาจจะแบ่งแยกได้ การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนใดคนหนึ่งรับผิดในมูลหนี้ร่วมดังกล่าวจำต้องรับฟังพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทุกคน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ 5 พยานหลักฐานของจำเลยที่ 5 ที่จะนำสืบก็ยังไม่ปรากฏในสำนวน ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไปโดยไม่รอฟังพยานหลักฐานของจำเลยที่ 5 ก่อน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดในมูลหนี้ละเมิด จึงเป็นหนี้ร่วมที่มิอาจจะแบ่งแยกได้ การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนใดคนหนึ่งรับผิดในมูลหนี้ร่วมดังกล่าวจำต้องรับฟังพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทุกคน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ 5 พยานหลักฐานของจำเลยที่ 5 ที่จะนำสืบก็ยังไม่ปรากฏในสำนวน ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไปโดยไม่รอฟังพยานหลักฐานของจำเลยที่ 5 ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2017/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบส่งผลต่อการพิพากษาคดีร่วมกัน การย้อนสำนวนเพื่อรับฟังพยานหลักฐานจำเลย
เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 5 ยื่นคำให้การในกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่สั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การจนถึงชั้นพิพากษาย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่จะสั่งให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดในมูลหนี้ละเมิด จึงเป็นหนี้ร่วมที่มิอาจจะแบ่งแยกได้ การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนใดคนหนึ่งรับผิดในมูลหนี้ร่วมดังกล่าวจำต้องรับฟังพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทุกคน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ 5 พยานหลักฐานของจำเลยที่ 5 ที่จะนำสืบก็ยังไม่ปรากฏในสำนวน ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไปโดยไม่รอฟังพยานหลักฐานของจำเลยที่ 5 ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1534/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการตรวจอาการป่วยของจำเลยเพื่อพิจารณาการเลื่อนคดี และการพิจารณาการเลื่อนคดีโดยชอบด้วยกฎหมาย
ในการขอเลื่อนคดี หากศาลมีความสงสัยว่าจำเลยป่วยเจ็บจริงหรือไม่ และอาการที่อ้างว่าป่วยเจ็บนั้นจะร้ายแรงถึงกับจะไม่สามารถมาศาลได้หรือไม่ ศาลมีอำนาจสั่งตั้งเจ้าพนักงานศาลไปทำการตรวจดูว่าจำเลยมีอาการป่วยเจ็บหรือไม่เพียงใด โดยไม่จำต้องตั้งแพทย์ไปตรวจด้วย ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมาย เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ต้องเสียค่าขึ้นศาลฎีกาเพียง 200 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงจากคำให้การเดิม ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบด้วยกระบวนพิจารณา
จำเลยให้การว่า ว. กับพวกมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ เพราะได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุม ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเสียงข้างมากมิใช่ผู้ถือหุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ว. กับพวกลงลายมือชื่อฟ้องคดีนี้จึงไม่ใช่การกระทำของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ว. กับพวกไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นธนาคารโจทก์จึงขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการตามข้อบังคับธนาคารโจทก์ ไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแต่งทนายความให้ฟ้องคดีนั้นเป็นอุทธรณ์ที่อ้างเหตุเรื่องอำนาจฟ้องแตกต่างไปจากคำให้การจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และการฎีกาที่ไม่อาจทำได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์เพราะเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 ดังนั้น คำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์เท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั่นเอง เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ และเมื่อเป็นกรณีเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงฎีกาต่อมาอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4327/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนสามัญ - การพิสูจน์ข้อเท็จจริง - กระบวนพิจารณา - ศาลต้องฟังพยานหลักฐานก่อนวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และจำเลยได้นำเงินมาลงหุ้นเพื่อซื้อที่ดินพิพาทมาขายแบ่งกำไรกันและจำเลยได้ยึดถือที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยในโฉนดที่ดินแทนส่วนของโจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยนำที่ดินไปจำนองให้เช่าและกล่าวอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยโจทก์ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของด้วย ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามส่วน จำเลยให้การปฏิเสธทั้งในฐานะการเป็นหุ้นส่วนและการเป็นเจ้าของรวม ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์และจำเลยเข้าหุ้นเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ และตามคำขอของโจทก์โจทก์ต้องการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1056ที่ต้องบอกเลิกเมื่อสิ้นรอบปีในทางบัญชีเงินและต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหกเดือน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องไปนั้น จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียน ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะในข้อนี้จำเลยยังให้การปฏิเสธอยู่ ทั้งยังปฏิเสธเรื่องการเป็นเจ้าของรวมอีกด้วย ศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อนที่จะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3528/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อหลังสืบพยานเสร็จสิ้น การเพิกถอนผลตรวจพิสูจน์ที่ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว ในระหว่างสืบพยานจำเลยทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลส่งลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงินไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ โดยเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ในเอกสารหมาย จ.8 และ จ.34 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อต่อหน้าศาลส่งไปตรวจพิสูจน์ด้วยโจทก์ไม่คัดค้าน ต่อมาศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 2 ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจเพิ่มเติมตามที่ขอมา ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์มายังศาลชั้นต้นว่า ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในตั๋วสัญญาใช้เงินกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในเอกสารตัวอย่างไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน แม้ต่อมาโจทก์จะยื่นคำแถลงคัดค้านว่าจำเลยที่ 2 มิได้จัดหาต้นฉบับอันแท้จริงของเอกสารหมาย จ.8 และ จ.34และมิได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าศาลเพื่อส่งไปให้ตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมในครั้งหลังก็ตามก็เป็นเรื่องสืบพยานของจำเลยที่ 2 มิใช่ของโจทก์เพราะโจทก์ก็ได้นำสืบพยานหลักฐานเสร็จสิ้นไปก่อนแล้ว โจทก์จะขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาและผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว และขอให้มีการตรวจพิสูจน์ใหม่หลังจากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นไปแล้วไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา