พบผลลัพธ์ทั้งหมด 436 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: พฤติการณ์นั่งขวางประตูและไม่ห้ามปรามบ่งชี้ความร่วมมือ
จำเลยบอกผู้เสียหายว่า ป. กับ ย. ต้องการร่วม ประเวณีกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ยินยอม จำเลยจึงลุกขึ้นไปนั่งตรงประตูห้องไว้ไม่ให้คนเปิดประตูมาเห็นเพื่อให้ ป. กับ ย.ข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหาย โดย จำเลยมิได้ห้ามปรามคนทั้งสอง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมมือกับ ป.และ ย. เพื่อให้คนทั้งสองข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงดังนี้ จำเลยเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าวด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษคดีข่มขืนกระทำชำเราจากคำรับสารภาพที่ไม่ถือเป็นการจำนนต่อหลักฐาน
จำเลยกระทำความผิดข่มขืนกระทำชำเรา สำเร็จและหลบหนีไปแล้วเจ้าพนักงานจึงมาที่เกิดเหตุ ต่อมาจับจำเลยได้ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยจำนนต่อ พยานหลักฐาน คำรับ สารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: การกระทำร่วมกันเป็นตัวการ
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายไปเที่ยวงานศพที่วัด จนกระทั่งเวลา 21นาฬิกาเศษจะกลับบ้าน พบจำเลย ล. และ ช. ซึ่งรู้จักกันมาก่อน ล. รับอาสาพาผู้เสียหายไปส่งบ้าน ผู้เสียหายตกลงไปด้วยแต่เมื่อออกจากบริเวณงานได้ประมาณ 1 เส้น ล. ฉุด ผู้เสียหายเข้าป่าละเมาะข้างทาง อันเป็นที่เปลี่ยวและมืด แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ จากนั้น ล. ก็ผิวปากเป็นสัญญาณให้จำเลยกับ ช. เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่อจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง ดังนี้ลักษณะการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าว แสดงว่ามีเจตนาร่วมเป็นตัวการในการผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราต่อเนื่อง อายุความไม่ขาด
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๐ เป็นการกระทำผิดหลายคราวต่อเนื่องกันตลอดมา ผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๐ เป็นการร้องทุกข์ภายในกำหนด ๓ เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความความผิดข่มขืนกระทำชำเราต่อเนื่อง – การร้องทุกข์ภายในกำหนด
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลายคราวต่อเนื่องกันตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2530 จนถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2530 ผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2530 เป็นการร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความข่มขืนกระทำชำเรา: การร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับจากวันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2530จนกระทั่งถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2530 เป็นการกระทำผิดหลายคราวต่อเนื่องกันตลอดมา ผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2530 เป็นการร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาไปเพื่ออนาจาร ข่มขืน และชิงทรัพย์: การพิจารณาเจตนาในความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา
จำเลยกับผู้เสียหายเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยทำพิธีแต่งงานกันตามลัทธิศาสนาอิสลาม และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาได้แยกกันอยู่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยหย่าขาดกับผู้เสียหายตามกฎหมายอิสลามการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราจึงอาจเป็นกรณีที่จำเลยกระทำไปโดยเข้าใจว่ามีสิทธิกระทำได้กับภริยาซึ่งมีบุตรด้วยกัน อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะ ย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำโดยมีเจตนาร้าย จึงไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยถอดเอาแหวนและตุ้มหูของผู้เสียหายซึ่งสวมใส่ไป โดยบอกกับผู้เสียหายว่าถ้ามีแหวนและตุ้มหูติดตัวผู้เสียหายอาจมีเงินหลบหนีได้ แสดงว่าการที่จำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าวไป จำเลยมีเจตนาเพียงที่จะป้องกันมิให้ผู้เสียหายหลบหนี หามีเจตนาทุจริตไม่จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4180/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี การปรับบทลงโทษ
จำเลยได้ถอดกางเกงในของตนออกแล้วจับผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 13 ปี ถอดเสื้อกางเกง จากนั้นพาไปนอนหงายบนฟูกของโจทก์ร่วม จำเลยนอนคว่ำทับ กอดจูบผู้เสียหายและได้พยายามเอาอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย อันเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารและพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งอายุไม่เกิน 13 ปี การที่จำเลยได้กระทำอนาจารโดยถอดเสื้อผ้าจำเลยและผู้เสียหายแล้วนอนคว่ำทับ กอดจูบผู้เสียหายและได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยมุ่งหมายที่จะกระทำชำเรา จึงเป็นความผิดกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 80, 279, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก 80, 279 วรรคสอง การกระทำความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียว ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 279 วรรคสอง ดังนี้ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษายกฟ้องจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก การที่โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงไม่ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ความผิดฐานนี้ยังไม่ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 279 วรรคแรก มิใช่มาตรา 279 วรรคสองศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจปรับบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ให้ถูกต้องได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 80, 279, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก 80, 279 วรรคสอง การกระทำความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียว ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 279 วรรคสอง ดังนี้ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษายกฟ้องจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก การที่โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงไม่ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ความผิดฐานนี้ยังไม่ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 279 วรรคแรก มิใช่มาตรา 279 วรรคสองศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจปรับบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4180/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ศาลปรับบทลงโทษตามกฎหมายอาญา
จำเลยได้ถอดกางเกงในของตนออกแล้วจับผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 13 ปี ถอดเสื้อกางเกง จากนั้นพาไปนอนหงายบนฟูก ของโจทก์ร่วม จำเลยนอนคว่ำทับ กอดจูบ ผู้เสียหายและได้พยายามเอาอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย อันเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารและพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งอายุไม่เกิน 13 ปี การที่จำเลยได้กระทำอนาจารโดยถอดเสื้อผ้าจำเลยและผู้เสียหายแล้วนอนคว่ำทับ กอดจูบ ผู้เสียหายและได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยมุ่งหมายที่จะกระทำชำเรา จึงเป็นความผิดกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2778027991 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก 80279 วรรคสอง การกระทำความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียว ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 279 วรรคสอง ดังนี้ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษายกฟ้องจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก การที่โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงไม่ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ความผิดฐานนี้ยังไม่ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคแรก และมาตรา 279 วรรคแรก มิใช่มาตรา 279 วรรคสองศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจปรับบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ให้ถูกต้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3007/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราโดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำอนาจารจนถึงขั้นพยายาม ถือเป็นการโทรมหญิงตามกฎหมาย
จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายในเวลากลางคืน โดยจำเลยมีอาวุธมีด พวกของจำเลยมีอาวุธปืน แล้วจำเลยได้ใช้อาวุธมีดจี้บังคับกระทำชำเราผู้เสียหาย ในขณะเดียวกันนั้นพวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนจี้บังคับข่มขืนกระทำชำเราพวกของผู้เสียหายอีกคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกันนั้น จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายและได้ร่วมกันกระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง เมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว พวกของจำเลยได้ผละจากพวกของผู้เสียหายมาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่ออีก แม้พวกของจำเลยจะไม่สามารถสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายได้ แต่ก็ได้ลงมือกระทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนถึงขั้นพยายามแล้ว การที่จำเลยกับพวกผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหายต่อเนื่องกัน ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง