คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อกฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 252 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 497/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยและการใช้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับทุนทรัพย์คดี
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธ์ที่ดินทั้งแปลง จำเลยต่อสู้กรรมสิทธ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ส่วนใหญ่ส่วนที่ดินหน้าท่าริมตลิ่งเป็นที่สาธารณะสมบัติจึงให้ยกฟ้องเฉพาะส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของโจทก์ ดังนี้ ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1345/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยักยอกทรัพย์ - ข้อพิพาทเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย - ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นยกฟ้องอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องอาศัยข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยโดยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดฐานใดนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุมและว่าการซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัท ข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยเป็นแต่อัยการข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหา ข้อ ก.ม. ทั้งสองประการนี้ แต่มาในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาปัญหาข้อ ก.ม.ทั้งสองประการนี้ด้วย ศาลฎีกาถือว่าปัญหาข้อ ก.ม.นี้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ขั้นอัยการดังนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาต้องยกข้อกฎหมายขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ มิเช่นนั้นศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยโดยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดในฐานใดนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุมและว่าการซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัทข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้เมื่อจำเลยอุทธรณ์จำเลยเป็นแต่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายทั้งสองประการนี้แต่มาในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายทั้งสองประการนี้ด้วยศาลฎีกาถือว่าปัญหาข้อกฎหมายนี้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ชั้นอุทธรณ์ดังนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาที่ไม่ชัดเจนประเด็นข้อกฎหมาย แม้รับสารภาพผิด
ข้อกฎหมายทั้งปวงอันคู่ความฎีการ้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2,3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตาม มาตรา 254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 254ปรับ 80 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง 3 มีบาดเจ็บ ดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วันหาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตามมาตรา338) และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อกฎหมายข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามจะค้านว่าที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้นโดยข้อกฎหมายแล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย กฎหมายข้อใด อย่างใดจำเลยไม่ได้กล่าว)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1481/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจลดโทษมาตรา 59 เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมาย
การลดโทษฐานปราณีแก่จำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 นั้นเป็นการใช้ดุลพินิจซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่องมิใช่เป็นข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยคนละ 6 เดือนฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บตาม มาตรา 254-63 ลดฐานปราณีตามมาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 3 เดือน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี 6 เดือน โดยบทมาตราเดียวกัน และไม่ลดฐานปราณีให้ เพราะถือว่าจำเลยจำนนแก่พยาน ดังนี้ถือว่าการลดโทษฐานปราณีแก่จำเลยตาม มาตรา 59เป็นการใช้ดุลพินิจซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่อง ไม่ใช่เป็นข้อกฎหมายจึงฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีมโนสาเร่ ศาลอุทธรณ์ต้องยึดข้อเท็จจริงเดิมของศาลชั้นต้น หากไม่ยกเหตุว่าข้อเท็จจริงเดิมผิดกฎหมาย
คดีมโนสาเร่ซึ่งคู่ความอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ฉะนั้นถ้าศาลอุทธรณ์กลับไปถือเอาข้อเท็จจริงอื่นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยไว้โดยศาลอุทธรณ์มิได้ยกเหตุว่าการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นผิดต่อ กฎหมายอย่างใดแล้ว และเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่เป็นการผิดต่อ กฎหมาย ศาลฎีกาก็จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 871/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์: การรับอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ ศาลชั้นต้นฟังว่าห้องเช่าเป็นเคหะ จึงพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ไม่ใช่เคหะ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย จำเลยฎีกาเพียงว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะในข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์กลับมาวินิจฉัยข้อเท็จจริง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ส่วนข้อที่ว่าห้องเช่าไม่ใช่เคหะนั้น จำเลยมิได้คัดค้านในฎีกามาดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยฎีกาขึ้นมาฟังไม่ขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องเคหะต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 425/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฎีกาจำกัดเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และการรับรองข้อเท็จจริงไม่ถือเป็นการรับรองให้ฎีกา
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า ศาลชั้นต้น พิพากษาให้ยกฟ้อง โดยอ้างว่าโจทก์ยังมิได้บอกเลิกสัญญาเช่า ศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ยกคำ พิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณา พิพากษาใหม่ ดังนี้ คู่ความจะฎีกาได้แต่เฉพาะผัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้เท่านั้น
ผู้พิพากษาพิจารณาในศาลชั้นต้นบันทึกไว้ว่า "ขอรับรองว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้มีเหตุสมควรจะอ้างประกอบฎีกาได้" ดังนี้ คำบันทึกเช่นนี้ มีความหมายไปในทางอื่น มิใช่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายชัดเจน ห้ามอ้างคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกานั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา จะขอให้ถือเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฎีกาด้วยนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ
of 26