พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภาระจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์ และการแก้ไขคำพิพากษาที่ผิดพลาด
โจทก์และบริวารเดินผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 อย่างปรปักษ์นานเกินกว่า 10 ปี แม้ที่ดินของโจทก์ด้านหนึ่งจะติดกับทางสาธารณะอยู่แล้วก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่โจทก์จะได้สิทธิในทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382
ศาลล่างพิพากษากำหนดแนวของทางภาระจำยอมผิดพลาดโดยกำหนดแนวของทางอยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเลยล้ำเข้าไปในเขตที่ดินข้างเคียง ทั้งที่ได้วินิจฉัยในคำพิพากษาแล้วว่าทางอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 และมีความกว้าง 2 ศอก กรณีถือได้ว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยมีผลทำให้คำวินิจฉัยและคำพิพากษาขัดกัน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามป.วิ.พ.มาตรา 143
ศาลล่างพิพากษากำหนดแนวของทางภาระจำยอมผิดพลาดโดยกำหนดแนวของทางอยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเลยล้ำเข้าไปในเขตที่ดินข้างเคียง ทั้งที่ได้วินิจฉัยในคำพิพากษาแล้วว่าทางอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 และมีความกว้าง 2 ศอก กรณีถือได้ว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยมีผลทำให้คำวินิจฉัยและคำพิพากษาขัดกัน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามป.วิ.พ.มาตรา 143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทางภารจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้มีทางสาธารณะ ศาลแก้ไขแนวทางผิดพลาด
โจทก์และบริวารเดินผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1อย่างปรปักษ์ นานเกินกว่า 10 ปี แม้ที่ดินของโจทก์ด้านหนึ่งจะติดกับทางสาธารณะอยู่แล้วก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่โจทก์จะได้สิทธิในทางภารจำยอมผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401ประกอบด้วยมาตรา 1382 ศาลล่างพิพากษากำหนดแนวของทางภารจำยอมผิดพลาดโดยกำหนดแนวของทางอยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเลยล้ำเข้าไปเขตที่ดินข้างเคียง ทั้งที่ได้วินิจฉัยในคำพิพากษาแล้วว่าทางอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 และมีความกว้าง 2 ศอก กรณีถือได้ว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยมีผลทำให้คำวินิจฉัยและคำพิพากษาขัดกัน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6192/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จากการส่งมอบการครอบครองต่อเนื่อง
ป.ได้ออกเงินชำระหนี้เงินกู้ของ ด.ให้ ช. ด.จึงยกที่พิพาทให้แก่ ป.ตั้งแต่ปี 2497 ต่อมา ป.ให้ ล.และจำเลยที่ 1 เช่าที่พิพาททำนาหลังจากนั้น ป.ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และได้ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองทำนาในที่พิพาทต่อจากการครอบครองของ ป.ตั้งแต่ปี 2525 ติดต่อมาจนปัจจุบันแม้การยกให้ที่พิพาทระหว่าง ป.กับ ด. กับการขายที่พิพาทระหว่าง ป.กับโจทก์ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่การที่ ด.ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้ ป. แสดงว่า ด.ได้เจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่ ป.แล้ว การครอบครองของ ด.ย่อมสิ้นสุดลง ป.จึงมีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377, 1378 ครั้น ป.ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์แสดงว่า ป.ได้เจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองเช่นกัน และในกรณีเช่นนี้โจทก์ย่อมนับระยะเวลาที่ ป.ครอบครองที่พิพาทรวมติดต่อกับระยะเวลาที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทเข้าด้วยกันได้ตาม มาตรา 1385
ป.ได้ครอบครองที่พิพาทของ ด.โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2497 และโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจาก ป.ตั้งแต่ปี 2525ตลอดมาเกินกว่าสิบปีแล้วเช่นนี้ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382
ป.ได้ครอบครองที่พิพาทของ ด.โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2497 และโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจาก ป.ตั้งแต่ปี 2525ตลอดมาเกินกว่าสิบปีแล้วเช่นนี้ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6192/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การโอนสิทธิไม่เป็นหนังสือ แต่มีเจตนาสละการครอบครอง
ป. ได้ออกเงินชำระหนี้เงินกู้ของ ด.ให้ช.ด. จึงยกที่พิพาทให้แก่ ป. ตั้งแต่ปี 2497 ต่อมา ป.ให้ ล. และจำเลยที่ 1 เช่าที่พิพาททำนาหลังจากนั้นป.ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และได้ส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองทำนาในที่พิพาทต่อจากการครอบครองของป.ตั้งแต่ปี 2525 ติดต่อมาจนปัจจุบันแม้การยกให้ที่พิพาทระหว่างป. กับ ด. กับการขายที่พิพาทระหว่าง ป.กับโจทก์ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่การที่ด.ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้ป. แสดงว่า ด. ได้เจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่ ป. แล้ว การครอบครองของ ด. ย่อมสิ้นสุดลงป. จึงมีสิทธิครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377,1378 ครั้ง ป. ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์แสดงว่า ป. ได้เจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองเช่นกัน และในกรณีเช่นนี้โจทก์ย่อมนับระยะเวลาที่ ป.ครอบครองที่พิพาทรวมติดต่อกับระยะเวลาที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทเข้าด้วยกันได้ตาม มาตรา 1385 ป. ได้ครอบครองที่พิพาทของ ด. โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2497 และโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจาก ป. ตั้งแต่ปี 2525ตลอดมาเกินกว่าสิบปีแล้วเช่นนี้ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5910/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ สิทธิในที่ดิน การสมยอม การซื้อที่ดินจากการบังคับคดี
การกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นการสมยอมกัน และจำเลยที่ 2 ทราบอยู่แล้วว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทการที่จำเลยที่ 2 นำหนี้สมยอมดังกล่าวมาฟ้องคดีแพ่งและยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วประมูลซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดนั้น จึงเป็นการได้มาโดยไม่สุจริต ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 การที่คดีนี้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องครบถ้วนโดยที่ศาลชั้นต้นก็มิได้เรียกให้เสียให้ครบถ้วนทั้งเมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาก็มิได้มีคำสั่งประการอื่นใดก็หาทำให้กระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้วต้องเสียไปแต่ประการใดไม่กรณีเป็นเรื่องของโจทก์และศาล จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องโต้แย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบ - การรับโอนทรัพย์สินโดยไม่สุจริต - สิทธิในการครอบครองปรปักษ์
คดีไม่มีการชี้สองสถาน แม้ศาลชั้นต้นกำหนดให้ฝ่ายโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนแล้วไม่มีฝ่ายใดสืบพยาน การที่ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดชนะคดีก็จะต้องถือหน้าที่นำสืบที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นหลัก ฟ้องโจทก์บรรยายว่า ขณะโจทก์ใช้ชื่อว่า ส. ได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาท โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยและบริวารเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารพิพาทโดยมิชอบจำเลยให้การตอนแรกว่าโจทก์ในขณะนั้นจะใช้ชื่อว่า ส. และจะได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธคดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องนำสืบในเรื่องชื่อของโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อมาว่า โจทก์ได้สมคบกับ ร. และ ป.ฉ้อโกงจำเลย โดย ร. ผู้ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่จำเลย ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่ป. และ ป. ได้โอนให้โจทก์โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทตามสัญญาจะซื้อขายที่ได้ทำไว้กับ ร. ดังนี้คำให้การของจำเลยในตอนต่อมานอกจากจะถือว่ารับข้อเท็จจริงในเรื่องชื่อของโจทก์แล้ว ยังถือว่ารับข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์คดีนี้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทอีกด้วย แต่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ว่าโจทก์สมคบกับ ร. และป.โอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาทเป็นของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่จำเลย อันเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมอาคารพิพาทโดยไม่สุจริตซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริต จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามข้อกล่าวอ้างของจำเลย เมื่อคดีนี้ไม่มีการชี้สองสถานและศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำสืบก่อน และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์โจทก์ขอเลื่อนคดี ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลไม่รับบัญชีพยานโจทก์ไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบต่อไปทั้งหมดและให้นัดสืบพยานจำเลย แต่จำเลยกลับแถลงไม่ติดใจสืบพยานดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับโอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาทโดย ไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5115/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้สิทธิในที่ดินโดยครอบครองปรปักษ์: การแก้ไขคำร้องและหน้าที่การนำสืบ
คำร้องขอของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้ร้องได้เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินโฉนดตามฟ้อง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน โดยผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อนานเกินกว่า 10 ปี แล้ว และผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว เฉพาะส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ประมาณ 2 งาน97 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย ก่อนวันนัดสืบพยานผู้ร้องผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำร้องขอเฉพาะข้อความเดิมที่ว่า "คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ2 งาน" เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวา ศาลชั้นต้นได้อนุญาตตามขอดังนั้น คำร้องขอของผู้ร้องในส่วนเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินที่ครอบครองได้สิทธินั้นจึงไม่เคลือบคลุม และชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
คดีนี้ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านแถลงรับข้อเท็จจริงกันแล้วไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองฝ่าย กรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ร้องได้นำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของตนในคำร้องขอแล้ว ศาลย่อมพิจารณาพิพากษาไปตามเนื้อหาในสำนวนคดี และเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทได้สิทธิการครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 แล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้นได้
คดีนี้ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านแถลงรับข้อเท็จจริงกันแล้วไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองฝ่าย กรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ร้องได้นำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของตนในคำร้องขอแล้ว ศาลย่อมพิจารณาพิพากษาไปตามเนื้อหาในสำนวนคดี และเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทได้สิทธิการครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 แล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5115/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ศาลพิจารณาจากเนื้อหาในสำนวนเมื่อแถลงรับข้อเท็จจริงและไม่ติดใจสืบพยาน
คำร้องขอของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้ร้องได้เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินโฉนดตามฟ้อง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน โดยผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อนานเกินกว่า 10 ปี แล้ว และผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว เฉพาะส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายก่อนวันนัดสืบพยานผู้ร้อง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำร้องขอเฉพาะข้อความเดิมที่ว่า "คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ2 งาน" เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวา ศาลชั้นต้นได้อนุญาตตามขอ ดังนั้น คำร้องขอของผู้ร้องในส่วนเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินที่ครอบครองได้สิทธินั้นจึงไม่เคลือบคลุมและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว คดีนี้ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านแถลงรับข้อเท็จจริงกันแล้วไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองฝ่ายกรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ร้องได้นำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของตนในคำร้องขอแล้ว ศาลย่อมพิจารณาพิพากษาไปตามเนื้อหาในสำนวนคดี และเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทได้สิทธิการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5115/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์: การแก้ไขคำร้องขอเนื้อที่ และการนำสืบข้อเท็จจริง
คำร้องขอของผู้ร้องบรรยายว่าผู้ร้องได้เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินโฉนดตามฟ้องคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ2งานโดยผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อนานเกินกว่า10ปีแล้วและผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ประมาณ2งาน97ตารางวาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายก่อนวันนัดสืบพยานผู้ร้องผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำร้องขอเฉพาะข้อความเดิมที่ว่า"คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ2งาน"เป็นเนื้อที่ประมาณ2งาน97ตารางวาศาลชั้นต้นได้อนุญาตตามขอดังนั้นคำร้องขอของผู้ร้องในส่วนเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินที่ครอบครองได้สิทธินั้นจึงไม่เคลือบคลุมและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้ว คดีนี้ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อนแต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านแถลงรับข้อเท็จจริงกันแล้วไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองฝ่ายกรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ร้องได้นำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของตนในคำร้องขอแล้วศาลย่อมพิจารณาพิพากษาไปตามเนื้อหาในสำนวนคดีและเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทได้สิทธิการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382แล้วศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5112/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์: การพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองโดยอาศัยสิทธิโจทก์
ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้ให้จำเลยอยู่อาศัย ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเช่าก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์อาจยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือจำเลยอาจต้องเสียค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นการเช่าซึ่งก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ และจำเลยก็ให้การยืนยันว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ไม่เคยอาศัยสิทธิอยู่อาศัยของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างถึงการเช่าเป็นมูลฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง