คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
นิติกรรมอำพราง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 206 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนข้อผูกพันสัญญาเดิมเป็นสัญญากู้ และผลของการอ้างนิติกรรมอำพรางต่อเงื่อนเวลา
สองฝ่ายมีหนี้สินเกี่ยวค้างกัน คิดบัญชีกันแล้วฝ่ายหนึ่งยังเป็นหนี้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ จึงตกลงทำเป็นสัญญากู้ไว้ ดังนี้ เป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงเปลี่ยนข้อผูกพันจากสัญญาเดิมมาผูกพันตามสัญญากู้ สัญญากู้จึงไม่ใช่นิติกรรมอำพราง
เจ้าหนี้ฟ้องเรียกเงินกู้ก่อนถึงกำหนดชำระ ลูกหนี้ปฏิเสธความรับผิด อ้างว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ย่อมแสดงว่าลูกหนี้ไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาในสัญญากู้นั้น เงื่อนเวลาจึงไม่เป็นข้อที่ลูกหนี้จะอ้างเป็นประโยชน์ได้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพรางต้องมีนิติกรรมที่ใช้บังคับได้ทั้งสองอัน การอ้างนิติกรรมต่างจากที่จดทะเบียนเป็นข้อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก หมายถึงบุคคลสองฝ่ายมิได้มีเจตนาที่จะผูกพิติสัมพันธ์กันอย่างไรเลย หากแต่แสร้งทำเป็นนิติกรรมขึ้นเพื่อลวงบุคคลภายนอก กฎหมายจึงยอมให้บุคคลทั้งสองฝ่ายน้นอ้างอิงความไม่สมบูรณืของนิติกรรมนั้น เพื่อแสดงว่าเป็นโมฆะได้ ส่วนวรรคสองหมายถึงบุคคลสองฝ่ายตกลงกันทำนิติกรรมอันหนึ่ง แต่ไม่แสดงเจตนาออกเช่นนั้น แสร้งทำเป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่ง เพื่ออำพรางนิติกรรมที่เขาแสดงเจตนาอันแท้จริงผูกนิติสัมพันธ์กันขึ้นนั้น กฎหมายจึงให้บังคับตามเจตนาอันแท้จริงที่เขาผูกนิติสัมพันธ์กันนั้นได้
ในกรณีที่จำเลยได้แสดงเจตนาตกลงกับโจทก์และจดทะเบียนแสดงเจตนานั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของจำเลยไปให้โจทก์เป็นการขายฝากแล้วนั้น จำเลยจะขอสืบพยานว่าพฤติการณ์เป็นจำนองโดยไม่มีสัญญาจำนองอันแท้จริงอีกอันหนึ่งเลยหาได้ไม่ เพราะเป็นการขอสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพราง: เจตนาจริงสำคัญกว่าเอกสาร
นิติกรรมอำพรางนั้น หมายถึงบุคคลสองฝ่ายตกลงทำนิติกรรมอันหนึ่ง แต่ไม่แสดงเจตนาออกมาเช่นนั้น แสร้งทำเป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งเพื่ออำพรางนิติกรรมที่เขาแสดงเจตนาอันแท้จริง ผูกนิติสัมพันธ์กันขึ้นนั้นกฎหมายจึงให้บังคับตามเจตนาอันแท้จริงนั้นได้
กรณีที่จำเลยได้แสดงเจตนาตกลงกับโจทก์ และจดทะเบียนแสดงเจตนานั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของจำเลยไปให้โจทก์เป็นการขายฝากแล้วนั้น จำเลยจะขอสืบพยานว่าพฤติการณ์เป็นจำนอง โดยไม่มีสัญญาจำนองอันแท้จริงอีกอันหนึ่ง หาได้ไม่ เพราะเป็นการขอสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพรางเช่าทรัพย์: จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิคุ้มครองค่าเช่า หากไม่ได้ขอรับสิทธิพิเศษตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่าจำเลยเช่าห้องรายพิพาทเพื่ออยู่อาศัย มิใช่เช่าเพื่อทำการค้า สัญญาเช่าที่ทำไว้จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยไม่เคยผิดสัญญาเช่า ทั้งโจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญา ดังนี้ ไม่พอที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยได้ขอรับสิทธิพิเศษ ตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ เพื่อที่ตนจะได้รับความคุ้มครองให้อยู่ตอ่ไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพรางและฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกัน: ขายฝากไม่ใช่การกู้ยืม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากจำเลยว่า โจทก์ขอกู้เงินและให้ที่ดินเป็นประกันเงินกู้ก่อนแล้วจึงตกลงไปทำสัญญาขายฝากกันเพื่อให้การประกันมีผลตามกฎหมาย ดังนี้ ไม่ใช่นิติกรรมอำพรางมีแต่การขายฝากเพียงนิติกรรมเพียง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงรับไปจัดหาผลประโยชน์จากที่ดินรายนี้ และฟ้องแย้งเรียกร้องเอาค่าผลประโยชน์ดังกล่าวจากโจทก์ ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวข้อกับฟ้องเดิมของโจทก์ ควรให้แยกไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2504

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมขายฝาก: เจตนาที่แท้จริง ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง หากมีเพียงสัญญาขายฝาก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากที่ดินจากโจทก์และโอนคืนที่ดินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยจริงตามฟ้อง แต่เจตนาอันแท้จริง โจทก์ขอกู้เงินจำเลย 2,500 บาท ให้ที่ดินเป็นหลักค้ำประกัน จึงได้ทำสัญญาขายฝากกันไว้เป็นนิติกรรมอำพราง และโจทก์ยังตกลงรับไปจัดหาประโยชน์จากที่ดินรายนี้ส่งให้จำเลยเดือนละ 125 บาททุกเดือน แต่โจทก์ส่งผลประโยชน์นั้นให้จำเลยเพียงเดือนเดียวแล้วติดค้างไม่ส่งเลย จำเลยจึงไม่ยอมรับไถ่การขายฝาก
เรื่องนิติกรรมนั้น จำเลยว่าโจทก์ขอกู้เงินและให้ที่ดินเป็นประกันเงินกู้ก่อนแล้วจึงตกลงไปทำสัญญาขายฝากกันเพื่อให้การประกันมีผลตามกฎหมาย ดังนี้ หาใช่นิติกรรมอำพรางไม่ เพราะนิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยมีแต่ขายฝากเพียงนิติกรรมเดียว การพูดขอกู้เงินเป็นเพียงการพูดจากันอันเป็นเหตุนำไปให้ทำสัญญาขายฝากเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลดค่าปรับตามสัญญา แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ และผลกระทบต่อลูกหนี้ผู้ไม่ฎีกา
ข้อกำหนดเบี้ยปรับตามสัญญา อยู่ในอำนาจศาลจะพิจารณาให้ตามสัญญาหรือตามที่ศาลเห็นสมควรได้ ถึงแม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งมา ศาลฎีการับพิจารณาให้ได้
โจทก์ฟ้องลูกหนี้กับผู้ค้ำประกันให้รับผิดตามสัญญา ผู้ค้ำประกันผู้เดียวฎีกาเมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกัน คำพิพากษานั้นย่อมมีผลเป็นคุณแก่ลูกหนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวมมีอำนาจฟ้องขับไล่บุคคลภายนอก แม้การซื้อขายมีลักษณะนิติกรรมอำพราง ก็ไม่อำนาจไร้ผล
เจ้าของรวมคนหนึ่งฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ดินซึ่งมีผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์อยู่ด้วยดังนี้ เป็นการใช้สิทธิต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นคนภายนอกจึงฟ้องได้ตาม มาตรา1359 ส่วนที่ว่าการเรียกทรัพย์คืนต้องอยู่ใต้บังคับของ มาตรา 302 นั้นหมายความว่าเมื่อได้ทรัพย์คืนมาแล้วต้องเป็นเจ้าของร่วมกันจะเอาเป็นของตนคนเดียวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพรางสัญญาเช่า: ศาลอนุญาตให้จำเลยสืบพยานเพื่อพิสูจน์เจตนาที่แท้จริงของสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดิน แล้วจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินนั้นในวันเดียวกัน ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดไถ่คืนแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดิน จำเลยต่อสู้ว่า ความจริงเป็นเรื่องกู้เงินโดยเอาที่ดินเป็นประกัน ส่วนการเช่าที่ดินนั้นเป็นการเลี่ยงกฎหมาย เผื่อถ้าจำเลยไถ่ที่ดินจะได้คิดแทนดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่าอัตราในกฎหมาย คดีนี้จำเลยไม่ได้ไถ่ที่ดินคืน และจำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่เช่าที่ดินที่เช่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่ควรมีค่าเช่าถึงอัตราที่กำหนดเป็นค่าเช่ากันไว้ เช่นนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่า สัญญาเช่าไม่สมบูรณ์ เพราะมิได้มีเจตนาที่จะให้ผูกพันด้วยการเช่ากันจริง ๆ จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานมาสืบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาที่แท้จริงของสัญญาเช่า: สิทธิในการนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์ว่าสัญญาเช่าเป็นเพียงอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านดอกเบี้ย
โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดิน แล้วจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินนั้นในวันเดียวกัน ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดไถ่คืนแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดิน. จำเลยต่อสู้ว่า ความจริงเป็นเรื่องกู้เงินโดยเอาที่ดินเป็นประกันส่วนการเช่าที่ดินนั้นเป็นการเลี่ยงกฎหมาย เผื่อถ้าจำเลยไถ่ที่ดินคืนจะได้คิดแทนดอกเบี้ยซึ่งเกินกว่าอัตราในกฎหมายคดีนี้จำเลยไม่ได้ไถ่ที่ดินคืน และจำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่เช่าที่ดินที่เช่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่ควรมีค่าเช่าถึงอัตราที่กำหนดเป็นค่าเช่ากันไว้เช่นนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าสัญญาเช่าไม่สมบูรณ์ เพราะมิได้มีเจตนาที่จะให้ผูกพันด้วยการเช่ากันจริงๆ จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานมาสืบได้
of 21