พบผลลัพธ์ทั้งหมด 286 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2000/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการบริษัทออกเช็คโดยเจตนาทุจริต มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับบริษัท
จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัท ธ. การที่จำเลยออกเช็คโดยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและประทับตราของบริษัทให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ของบริษัท เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเพราะจำเลยมีคำสั่งห้ามธนาคารใช้เงินตามเช็คและไม่มีเงินในบัญชีเงินฝากของบริษัท อันเป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คซึ่งเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ถือว่าจำเลยร่วมกับบริษัทออกเช็ครายนี้ และมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วยโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2523ซึ่งแตกต่างกับที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2522 ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นข้อแตกต่างในรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำผิดซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้นมิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2523ซึ่งแตกต่างกับที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2522 ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นข้อแตกต่างในรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำผิดซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้นมิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเช็ค: ผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทไม่ใช่ผู้สั่งจ่ายเช็คโดยตรง
จำเลยและ อ.เป็นผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทผู้เป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน การที่จำเลยและ อ.ลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คที่มีเลขบัญชีดังกล่าวของบริษัทโดยประทับตราของบริษัทด้วย จึงถือว่าบริษัทเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับนี้ จำเลยเป็นเพียงผู้แทนของบริษัทหาใช่ผู้สั่งจ่ายซึ่งจะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาบริษัท: พิจารณาจากสำนักงานบริหารกิจการตามความเป็นจริง ไม่ใช่ที่จดทะเบียน
เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานครจะถือเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยเสมอไปหาได้ไม่ ต้องถือตามถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลนั้นตามความเป็นจริง
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บริษัทจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บริษัทจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาบริษัท: พิจารณาจากสำนักงานบริหารกิจการจริง ไม่ใช่ที่จดทะเบียน
เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานครจะถือเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยเสมอไปหาได้ไม่ ต้องถือตามถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลนั้นตามความเป็นจริง
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหุ้นโดยไม่ระบุเลขที่หุ้น ไม่ทำให้การโอนเป็นโมฆะ หากบริษัทไม่ได้ออกใบหุ้นและไม่มีทะเบียนผู้ถือหุ้น
ในเอกสารการโอนหุ้นโจทก์ผู้รับโอนกับผู้โอนได้ลงลายมือชื่อมีพยานรับรอง 2 คน ทั้งกรรมการบริษัทจำเลยสองนายได้ลงชื่อประทับตราบริษัทอนุมัติให้โอนหุ้นกันได้ ถูกต้องตามแบบที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสองบังคับไว้ ส่วนที่บทบัญญัติมาตราดังกล่าวบัญญัติความต่อไปว่าตราสารการโอนหุ้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วยก็เพื่อจะรู้ได้แน่นอนว่าหุ้นใดของผู้ถือหุ้นยังอยู่และหุ้นใดได้โอนให้บุคคลอื่นไปแล้วเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าถ้ามิได้แถลงหมายเลขหุ้นที่โอนกัน การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อย่อมเป็นโมฆะ ทั้งบริษัทจำเลยยังไม่ได้ออกใบหุ้นให้ผู้ถือหุ้น ย่อมไม่มีเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันที่ผู้โอนจะแถลงลงในหนังสือโอนหุ้นและจดแจ้งการโอน กับชื่อผู้รับโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นได้ การโอนหุ้นดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของผู้จัดการบริษัทในการทำสัญญาและการผูกพันบริษัท แม้ขัดข้อบังคับบริษัท
ระหว่างเกิดเหตุ จ. เป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยย่อมถือได้ว่าจ. เป็นผู้แทนบริษัทจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลในอันที่จะแสดงออกถึงความประสงค์แทนบริษัทจำเลยได้ การที่ จ. ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ทำการติดตั้งถังน้ำในโรงงานเพื่อใช้ในกิจการของจำเลยแม้จะฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทที่ระบุว่าต้องมีกรรมการผู้มีอำนาจอีกคนหนึ่งร่วมลงนามด้วย แต่ระหว่างที่โจทก์ดำเนินการตามสัญญากรรมการของบริษัทจำเลยคนอื่นไม่ได้ทักท้วงและรับมอบผลงานนั้นจากโจทก์ไว้แล้ว จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาต่อโจทก์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย โดยอาศัยระเบียบข้อบังคับเดิมที่ใช้บังคับ ณ วันเกิดเหตุ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยอำนาจตามระเบียบของจำเลยเนื่องจากโจทก์ขับรถจำเลยชนกับรถผู้อื่นโจทก์เห็นว่าคำสั่งและระเบียบของจำเลยดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำเลยให้การต่อสู้ว่าระเบียบและคำสั่งของจำเลยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและชอบด้วยกฎหมายแล้ว เป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นจึงมีว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่
โจทก์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุก่อนที่ระเบียบฉบับใหม่ของจำเลยจะใช้บังคับระเบียบฉบับใหม่จึงไม่มีผลบังคับสำหรับกรณีโจทก์ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าระเบียบฉบับใหม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีต้องบังคับตามระเบียบฉบับเดิมซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและใช้บังคับในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้ความว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งระเบียบฉบับเดิมระบุโทษให้ไล่ออกฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระเบียบของจำเลยฉบับใหม่ไม่มีผลบังคับในกรณีของโจทก์ การกระทำของโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์อุทธรณ์ในข้อที่มิได้อ้างมาในฟ้อง จึงมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุก่อนที่ระเบียบฉบับใหม่ของจำเลยจะใช้บังคับระเบียบฉบับใหม่จึงไม่มีผลบังคับสำหรับกรณีโจทก์ คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าระเบียบฉบับใหม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีต้องบังคับตามระเบียบฉบับเดิมซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและใช้บังคับในขณะเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้ความว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งระเบียบฉบับเดิมระบุโทษให้ไล่ออกฉะนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระเบียบของจำเลยฉบับใหม่ไม่มีผลบังคับในกรณีของโจทก์ การกระทำของโจทก์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์อุทธรณ์ในข้อที่มิได้อ้างมาในฟ้อง จึงมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจกรรมการลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คแทนบริษัท: ไม่ถือเป็นความรับผิดส่วนตัว
จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทจำกัดและเป็นผู้ทรงเช็คที่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่าย การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทลงบนลายมือชื่อสลักหลังเช็คดังกล่าวโอนให้แก่โจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าเป็นการกระทำนอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 2 นั้น เป็นการแสดงความประสงค์ของนิติบุคคลโดยทางผู้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 75 อันอาจกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 เอง และเห็นเจตนาได้โดยชัดแจ้งว่ากระทำในนามจำเลยที่ 2 แม้มิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ก็หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดี และอำนาจฟ้องของบริษัทที่รับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เพื่อประกอบการขนส่ง
โจทก์ที่ 2 ได้นำรถคันเกิดเหตุเข้ามาวิ่งร่วมในสัมปทานของบริษัทโจทก์ที่ 3 โดยโจทก์ที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนรถเป็นของบริษัทโจทก์ที่ 3 ด้วย เพื่อจะได้วิ่งในเส้นทางสัมปทานได้ โจทก์ที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวและดำเนินการร่วมกัน โจทก์ที่ 3 จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยร่วมเพียงผู้เดียวที่ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยร่วมร่วมกันรับผิด ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 แล้วจำเลยร่วมไม่อุทธรณ์ ประเด็นเรื่องอายุความสำหรับจำเลยร่วมย่อมยุติ เมื่อจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกว่า คดีสำหรับจำเลยร่วมขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบ
จำเลยร่วมเพียงผู้เดียวที่ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยร่วมร่วมกันรับผิด ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 แล้วจำเลยร่วมไม่อุทธรณ์ ประเด็นเรื่องอายุความสำหรับจำเลยร่วมย่อมยุติ เมื่อจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกว่า คดีสำหรับจำเลยร่วมขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง: ผู้ถือหุ้น/กรรมการบริษัท ไม่มีสิทธิฟ้องแทนบริษัท
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการของบริษัท ร. จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกคำสั่งให้ควบคุมบริษัท ร. แล้วตั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นคณะกรรมการควบคุมซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเสนอรายงานต่อจำเลยที่ 8 ว่าบริษัท ร. ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จำเลยที่ 8 ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นจึงสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทร. ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งที่ตั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นคณะกรรมการควบคุมบริษัท ร. และคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตไม่ชอบด้วยกฎหมายให้จำเลยเพิกถอนเสีย ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งแปดตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องเป็นการกระทำต่อบริษัท ร. ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีสิทธิและหน้าที่ต่างหากจากโจทก์ทั้งสองผู้ที่ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ก็คือบริษัทร. ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของบริษัท ร. ถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง