คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้เสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,243 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า: การพิสูจน์เจตนาและตัวผู้เสียหายจากหลักฐาน
การที่โจทก์ระบุชื่อผู้เสียหายในฟ้องผิดพลาดและรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ระบุชื่อผู้บาดเจ็บผิดพลาดไปบ้างเฉพาะในหน้าหลังส่วนหน้าแรกถูกต้องนั้นถือได้ว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ทั้งจำเลยก็นำสืบต่อสู้โดยอ้างฐานที่อยู่ขณะเกิดเหตุมิได้หลงต่อสู้กับตัวผู้เสียหายแต่อย่างใด ข้อผิดพลาดดังกล่าวจึงไม่ถึงกับทำให้รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานนำสืบพยานเท็จในคดีแพ่ง โจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตาม ป.อ.มาตรา 180 หรือไม่ ความผิดฐานดังกล่าวโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้จึงมีผลเป็นการสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1เท่านั้น
การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ผิดสัญญาซื้อขาย ขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1531ให้แก่จำเลย และจำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งดังกล่าวนั้นแม้จำเลยอ้างว่าการเบิกความเป็นพยานและการส่งสัญญาซื้อขายดังกล่าว จำเลยกระทำต่อศาลชั้นต้น มิใช่กระทำต่อโจทก์ก็ตาม แต่คดีแพ่งดังกล่าวโจทก์ถูกจำเลยฟ้องโจทก์จึงเป็นคู่ความในคดีด้วย และสัญญาซื้อขายตามที่จำเลยอ้างส่งก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับโจทก์ การที่จำเลยนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อสิทธิหรือส่วนได้เสียของโจทก์โดยตรงเช่นนี้ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยในความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี เพราะอาจมีผลให้โจทก์ถูกบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องจำเลยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4) และมาตรา 28 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5155/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพจำเลย และการสันนิษฐานการร้องทุกข์โดยชอบ
ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโดยมิได้ต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด จึงต้องถือว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4979/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานประกอบกัน: คำให้การผู้เสียหาย, คำรับสารภาพผู้ร่วมกระทำผิด, พยานตำรวจสนับสนุนคดีปล้นทรัพย์
แม้ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายในคดีปล้นทรัพย์จะให้การแตกต่างจากคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณาไปบ้างแต่ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายก็ให้การยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนร้ายยืนคุมผู้เสียหายอยู่ในบ้านเกิดเหตุขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งใช้ผ้ามัดมือของผู้เสียหายไว้ คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้ได้ให้การในวันเกิดเหตุนั้นเอง ได้กล่าวไว้อย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนในการที่ถูกคนร้ายร่วมกันปล้นทรัพย์และใช้อาวุธปืนยิงจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ยากที่ผู้เสียหายจะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อปรักปรำหรือแกล้งใส่ร้ายจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายนี้จึงรับฟังเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาได้เพราะผู้เสียหายเบิกความภายหลังเกิดเหตุเป็นเวลานานเกินสิบปี ผู้เสียหายคงไม่อาจจดจำรายละเอียดและเหตุการณ์ในการที่ คนร้ายร่วมกระทำผิดได้ครบถ้วนดังเช่นที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ในวันเกิดเหตุนั้นเป็นแน่ แม้คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลย การที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่ เพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยรับฟังได้ในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความและมีคำให้การรับสารภาพของ จ. และ ส. ในชั้นสอบสวนซัดทอดจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันว่า ในการร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายนี้ จำเลยเป็นผู้ชักชวน จ. และ ส.ไปด้วยกันซึ่ง จ. และ ส. ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนทันทีในวันที่ จ. และ ส. ถูกจับกุม และเป็นการยากที่ จ.และ ส. จะปรุงแต่งขึ้นเพื่อต่อสู้คดีหรือปรักปรำจำเลยจ. กับ ส. ได้ให้การชั้นสอบสวนตามความเป็นจริงโดยสมัครใจ คำให้การชั้นสอบสวนของผู้กระทำผิดด้วยกันดังกล่าวก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟัง ย่อมนำมารับฟังประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายได้ นอกจากนั้นโจทก์ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวน จ. และ ส.มาเบิกความสนับสนุนว่า ชั้นสอบสวน จ. และ ส.ให้การรับสารภาพและยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพ เช่นนี้เมื่อฟังคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณา คำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนประกอบคำให้การรับสารภาพของ จ.และ ส. ในชั้นสอบสวน กับคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจตลอดจนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมดังกล่าวแล้วเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกอีกสองคนปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องไปจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4967/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาโดยโจทก์ร่วมผู้เสียหาย ทำให้สิทธิในการฟ้องระงับ
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและยังไม่ถึงที่สุดเมื่อปรากฏตามคำร้องของ โจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมไม่ติดใจดำเนินคดีอาญากับจำเลย โดยโจทก์และจำเลยไม่คัดค้านแสดงว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายประสงค์ที่จะถอนคำร้องทุกข์ แต่โจทก์ร่วมใช้ข้อความผิดไปเป็นถอนฟ้องเนื่องจากคดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ส่วนผู้เสียหายเป็นเพียงโจทก์ร่วม เช่นนี้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ต้องพิจารณาผู้เสียหายที่แท้จริงและเจตนาของผู้กระทำ
องค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 นั้น ผู้กระทำผิดต้องเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์การที่จำเลยทั้งสองใช้ขวดขว้างและใช้มีดฟันประตูห้องพักผู้เสียหายทั้งสอง กับได้เรียกผู้เสียหายทั้งสองออกมาพูดคุยและขู่จะฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง โดยที่จำเลยทั้งสองไม่ได้เข้าไปในห้องพักของผู้เสียหายทั้งสองจึงขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก องค์ประกอบความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 นั้น ต้องกระทำต่อทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย คำว่า"ทรัพย์ของผู้อื่น" ย่อมหมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์ให้เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์นั้น พ.กับธ. เป็นลูกจ้างของบริษัท บ.โดยบริษัทดังกล่าวจัดให้บุคคลทั้งสองพักอยู่ที่หอพักคนงานซึ่งทำให้ พ.และธ. มีเพียงใดใช้สิทธิอาศัยอยู่ในห้องพักเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าบริษัท บ. ซึ่งเป็นเจ้าของห้องพักได้มอบหมายโดยตรงให้ พ.และธ. เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของทรัพย์นั้น พ.และธ. จึงมิใช่ผู้เสียหาย เมื่อบริษัท บ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวนไว้พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวนใน ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้และ พนักงานอัยการไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องในข้อหาฐานทำให้ เสียทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง, เจตนาในการกระทำความผิด, การร่วมกระทำความผิด, พยานหลักฐาน, สภาพจิตใจผู้เสียหาย
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงผู้เดียวที่ประสบเหตุการณ์รายนี้เป็นพยาน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง 13 ปีเศษ และกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งไม่ปรากฏเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยงกันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาปรักปรำผู้ใดให้ต้องรับโทษ ประกอบกับการที่ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เสียหายต้องอับอายเสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล กรณีไม่มีเหตุผลที่ผู้เสียหายจะต้องกลั่นแกล้งกล่าวหาผู้ใดหากไม่เป็นความจริง อีกทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายก็ตรงไปตรงมาตามความจริงที่ตนประสบจึงมีน้ำหนักรับฟัง นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่เป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพ จึงย่อมสนับสนุนถ้อยคำของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น และรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ได้ร่วมกันกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277 ประกอบมาตรา 83
ในระหว่างมีการกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยที่ 3 อยู่รู้เห็นเหตุการณ์เวลาที่จำเลยที่ 2 กับ ด.และ ป.ช่วยกันจับขา ปิดตา และถอดกางเกงของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 พูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายร้อง พฤติกรรมของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วย แม้ต่อมาจำเลยที่ 1และ ป.จะเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามลำพังแต่ละคนก็ตาม แต่สภาพของผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 3จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง
จำเลยที่ 4 เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3กระทำความผิดฐานร่วมกันโทรมเด็กหญิงเท่านั้น โดยจำเลยที่ 4 นั่งดมกาวอยู่บนรถสามล้อเครื่องภายในห้องเกิดเหตุ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้กระทำการใดที่แสดงว่ามีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วย การที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้พูดห้ามปรามผู้กระทำความผิดรายนี้ ซึ่งมีแต่พวกวัยรุ่นเพื่อนของจำเลยที่ 4 รวม5 คน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองได้ พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและการยืนยันความน่าเชื่อถือของผู้เสียหาย
เหตุเกิดในเวลากลางวันมีแสงสว่างเต็มที่ ผู้เสียหายเห็นจำเลยได้ชัดเจนในระยะใกล้ชิดและเป็นเวลานานพอสมควรทั้งได้ชี้ให้จับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ในขณะที่ความจำของผู้เสียหายยังดีอยู่ทั้งผู้เสียหายได้บอกกับพนักงานสอบสวนมาตั้งแต่ต้นว่าจำคนร้ายได้ เชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้จริง ส่วนที่ผู้เสียหายมาแจ้งความ ล่าช้าไป 2 วันเป็นเพราะหลังเกิดเหตุแล้วได้ออกจากบ้านจะไปแจ้งความโดยอาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มารอรถยนต์โดยสารที่ปากทาง แต่รู้สึกไม่สบายมากมีไข้ขึ้นจึงขอให้ชาวบ้านช่วยนำกลับบ้าน ซึ่งในข้อนี้แพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายรับว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่และถูกไฟลวกที่ใบหน้า น่าเชื่อว่าเหตุที่ผู้เสียหายมาแจ้งความช้าเพราะเจ็บป่วยจริงหาได้เป็นพิรุธไม่ พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดความรับผิดของผู้กระทำความผิดทางอาญาจากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และคำให้การของผู้เสียหาย
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนอนไม่หลับจึงลุกจากเตียงไปเปิดไฟฟ้าแต่ยังไม่ทันเปิดจำเลยก็เข้าไปอยู่ในห้องนอนและอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร ในมือถือมีดและเดินเข้าจะรวบลำตัวของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นกันคมมีดที่จำเลยถือจึงบาดนิ้วมือและเข่าของผู้เสียหายผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือก็มีเสียงตอบรับ จำเลยตกใจและวิ่งไปเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก จำเลยจึงวิ่งย้อนกลับไปยังหน้าต่างที่ใช้ปีนเข้ามา จำเลยวิ่งอยู่ในห้อง กลับไปกลับมาและฉายไฟฉายด้วย ปรากฏว่าไฟฉายที่ส่องไปกระทบกระจกตู้เสื้อผ้าที่ตั้งไว้ในห้องนอนซึ่งใช้เป็นที่กั้น เป็นห้องนอนในตัวซึ่งมีช่องกระจกใสอยู่ 5 ช่องเพื่อหาทางหนีอย่างฉุกละหุก แม้ไม่ตั้งใจส่องไฟไปกระทบบานกระจกแต่บานกระจกเหล่านั้นตั้งอยู่ในระยะใกล้ การส่องไฟหาทางหนีเป็นธรรมดาที่ต้องส่ายลำแสงไฟไปทั่วย่อมจะเกิดแสงสว่างสะท้อนกลับทำให้ผู้เสียหายเห็นคนร้าย นอกจากนี้ยังปรากฏว่าผู้เสียหายสามารถเห็นไฟฉายที่คนร้ายถืออยู่นั้นว่าเป็นไฟฉายใช้ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน และมีดที่คนร้ายถือยาว 1 คืบเศษสีขาวลักษณะเป็นมีดพกบ่งชัดว่าผู้เสียหายสามารถเห็นความยาวของมีด หากมีดที่ถือไม่ยาวเป็นคืนก็ไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลที่มือผู้เสียหายยาว 2.5 เซนติเมตร มีดที่ผู้เสียหายเบิกความถึงจึงสอดคล้องลักษณะการใช้ ทั้งผู้เสียหายสามารถระบุเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมว่าเป็นเสื้อสีเทาลักษณะเสื้อทหารและสวมกางเกงสีดำ ทำให้เชื่อว่ามีแสงสะท้อนสว่างพอที่จะเห็นหน้าคนร้าย ประกอบกับจำเลยเป็นญาติและมีบ้านอยู่ห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 150 เมตร ผู้เสียหายจึงรู้จักจำเลยมาก่อนและจำจำเลยได้เป็นอย่างดี เพราะมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันย่อมมองเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นประจำ แม้แสงสว่างที่ส่องเป็นเพียงแสงสะท้อนก็เชื่อว่ามีแสงเพียงพอที่ผู้เสียหายจะเห็นและจำคนร้ายได้ วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายระบุตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายและเจ้าพนักงานตำรวจไปจับในวันรุ่งขึ้นนั้นเองกับได้บันทึกพฤติการณ์แห่งการกระทำของคนร้าย ทั้งระบุชื่อของจำเลยว่าเป็นคนร้ายด้วย แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ระบุชื่อคนร้ายในทันทีต่อผู้ที่ไปที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า คนร้ายไม่ใช่จำเลยจึงไม่ใช่เหตุที่จะทำคำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายเสียไป ทั้งในเวลาเย็นของวันที่จำเลยถูกจับนาง พ. ภริยาจำเลยและญาติของจำเลยไปเจรจากับผู้เสียหายโดยตกลงชำระค่าเสียหายให้จำนวน 5,000 บาท หากจำเลยไม่ใช่คนร้ายภริยาและญาติของจำเลยก็ไม่จำต้องไปเจรจาชำระค่าเสียหายแม้ผู้ไปเจรจาไม่ใช่จำเลยแต่ก็มีภริยาจำเลยและญาติสนิทรวมอยู่และเจรจาเพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยยอมชำระเงินจำนวนไม่น้อย พยานหลักฐานของโจทก์สมเหตุสมผลสอดคล้องกับพยานแวดล้อม พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8408/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผิดพลาดการระบุผู้เสียหายในฟ้อง ไม่กระทบการดำเนินคดีหากไม่เป็นสาระสำคัญ และการใช้เอกสารไม่ติดอากรแสตมป์ในคดีอาญา
แม้โจทก์บรรยายฟ้องผิดไปว่า บริษัท ฮ.เป็นผู้เสียหายก็ตามแต่ทางพิจารณาได้ความว่า บริษัท ส.เป็นผู้เสียหาย การดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นผัดฟ้องฝากขังก็ระบุชื่อผู้เสียหายถูกต้องมาแต่แรก ดังนี้ ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย และข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้เพราะไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจึงลงโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสองกรณีมิใช่เป็นเรื่องทางพิจารณาได้ความแตกต่างในสาระสำคัญที่ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสอง
ตราสารใดที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118นั้น จะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย ดังนี้การที่ผู้เสียหายทำหนังสือมอบอำนาจให้ ฐ.ผู้รับมอบอำนาจไปแจ้งความพนักงาน-สอบสวนเกี่ยวกับเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ แม้หนังสือดังกล่าวจะปิดอากรแสตมป์10 บาทก็ตาม แต่เมื่อก็ไปแจ้งความตามหนังสือดังกล่าวแล้ว กรณีเป็นการมอบอำนาจให้ร้องทุกข์และเมื่อมีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้
of 125