พบผลลัพธ์ทั้งหมด 361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าในคดีทำร้ายร่างกาย: พิจารณาจากสถานการณ์และลักษณะการกระทำ
จำเลยกับผู้เสียหายสนิทสนมกันมานานเพราะต่างเป็นใบ้และหูหนวก วันเกิดเหตุจำเลยดื่มเบียร์จนเวียนศีรษะแล้วใช้มีดพกชนิดพับได้ ใบมีดยาวประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดเล็กแทงผู้เสียหายแม้จะแทงหลายที ที่หน้าอก ชายโครงและหน้าท้อง แต่ก็น่าจะไม่มีเจตนาเลือกแทงเพราะขณะนั้นจำเลยและผู้เสียหายกำลังกอดปล้ำกันอยู่ และรูปคดีเชื่อว่าหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยย่อมจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้โดยง่าย เพราะไม่มีใครรู้เห็นและห้ามปราม ทั้งผู้เสียหายก็ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้เพราะเป็นใบ้ ผู้เสียหายลุกขึ้นมาได้ทันทีหลังจากถูกแทง ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2418/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ถึงเจตนาฆ่า บาดแผลเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จำเลยใช้มีดสำหรับปอกผลไม้ใบมีดกว้างครึ่งนิ้วยาว 4 นิ้วแทงผู้เสียหายที่ชายโครงด้านซ้าย 1 ครั้ง บาดแผลลึกเพียง 2เซนติเมตร ยาว 1.5 เซนติเมตร แทงขณะจำเลยเมาสุราแล้วปล่อยมีดหลบหนีไป แสดงว่าไม่ต้องการแทงซ้ำ ผู้เสียหายทำแผลแล้วแพทย์ให้กลับบ้านได้และไปทำแผลอยู่ 4 วัน ก็ไม่ต้องไปอีก แสดงว่าบาดเจ็บเล็กน้อย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแทงโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลไม่อาจพิพากษาถึงบุคคลภายนอกคดี แม้เป็นประโยชน์ต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากไม่ได้ฟ้องเป็นคู่ความ
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทของโจทก์และให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการ ออกน.ส.3 ก. ที่พิพาทเป็นชื่อของโจทก์แทนชื่อจำเลยด้วย เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นคู่ความ ศาลจะพิพากษาถึงเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง และข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาหลอกลวงสำคัญกว่าจำนวนผู้เสียหายในการพิพากษาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
การกระทำใดเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือไม่มิได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงแต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนเป็นข้อสำคัญ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4665/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาโดยบันทึกของศาลแขวง และการลดโทษในคดีพนัน
คำพิพากษาของศาลแขวงสามารถกระทำได้โดยเพียงบันทึกไว้เท่านั้น แม้คำพิพากษามิได้ตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยก่อน แต่เมื่ออ่านประกอบกันโดยตลอดแล้ว เป็นที่เข้าใจได้ว่าศาลได้ตั้งกำหนดโทษที่จะลงไว้เท่าใด ทั้งได้อ้างมาตราที่ลดโทษให้จำเลยไว้ด้วยแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจหรือแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไปได้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลแขวงจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน เครื่องเล่นไฟฟ้าจักรกลพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ดังนี้จำเลยจะฎีกาเถียงเป็นอย่างอื่น หาได้ไม่เพราะขัดกับคำรับสารภาพ ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือใน การกระทำผิดมีมากถึง 46 ตู้ เงินเหรียญบาทถึง 30,231 เหรียญ ถือได้ว่าเป็นการเล่นการพนันรายใหญ่ อาจเป็นการมอมเมาเยาวชน ให้หลงไหลในการพนัน เป็นผลเสียหายร้ายแรงแก่ประเทศชาติ จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะลดหย่อนโทษและรอการลงโทษให้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน เครื่องเล่นไฟฟ้าจักรกลพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ดังนี้จำเลยจะฎีกาเถียงเป็นอย่างอื่น หาได้ไม่เพราะขัดกับคำรับสารภาพ ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือใน การกระทำผิดมีมากถึง 46 ตู้ เงินเหรียญบาทถึง 30,231 เหรียญ ถือได้ว่าเป็นการเล่นการพนันรายใหญ่ อาจเป็นการมอมเมาเยาวชน ให้หลงไหลในการพนัน เป็นผลเสียหายร้ายแรงแก่ประเทศชาติ จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะลดหย่อนโทษและรอการลงโทษให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3990/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ โดยศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม แม้จำเลยอ้างสิทธิร้องทุกข์
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่96ลงวันที่29กุมภาพันธ์2515มิได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา42ซึ่งบัญญัติว่า'บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ' โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมือปีพ.ศ.2525ถึงวันที่25กันยายน2527เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้าฯถวายฎีกาอยู่ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมยกให้ที่ดิน และขอบเขตการพิพากษาคดีที่ศาลต้องวินิจฉัยทุกประเด็นข้อพิพาท
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2ให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่2ตามเดิมดังนี้เมื่อคำขอส่วนที่ให้พิพากษาให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่2ไม่อาจบังคับได้ก็ชอบที่ศาลจะพิพากษาให้ยกคำขอเฉพาะส่วนนี้ไปคำฟ้องและคำขอส่วนอื่นที่บังคับได้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหมดเป็นการไม่พิพากษาคดีตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อที่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วไม่ชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์มีคำพิพากษาต้องกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 339, 340 ตรี, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288, 339, 340 ตรี, 80 ลงโทษตามมาตรา 288, 80 นอกนั้นให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องข้อหาตามมาตรา 288, 80 และมาตรา340 ตรีด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ เมื่อข้อหาตามมาตรา 289 ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิพากษายกฟ้องหลังศาลอุทธรณ์ให้พิจารณาใหม่ กรณีโจทก์ไม่มาศาล
ในชั้นพิจารณา โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยผู้พิพากษานายเดียวลงนาม ในคำพิพากษา เป็นการไม่ชอบ เพราะคดีเกินอำนาจ ผู้พิพากษานายเดียวที่จะพิพากษา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายก คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ ย่อมหมายความว่าพิจารณาคดีต่อไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณาว่า โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดยังคงมีอยู่ตลอดมาจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ดังนี้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยเหตุเดิมได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 181 ประกอบด้วยมาตรา 166
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา: จำเป็นพอสมควรแก่เหตุและการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ซึ่งไม่ต้องรับโทษ. ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185. แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษและให้คุมประพฤติจำเลย. ก็มีผลเท่ากับพิพากษายกฟ้อง. และเป็นการยกฟ้องในข้อเท็จจริง. เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดพิพากษายกฟ้อง. กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.