พบผลลัพธ์ทั้งหมด 558 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ไม่ครบถ้วนของศาลอุทธรณ์ จำเลยบางส่วนไม่ได้รับการวินิจฉัย และเหตุผลในการรอ/ไม่รอการลงโทษ
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยขอให้แก้เป็นไม่รอการลงโทษจำเลยที่1-5,7-8จึงถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่2ถึงที่4ไว้ด้วยแล้วแต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์กล่าวเพียงว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่1ที่5ที่7และที่8พร้อมทั้งวินิจฉัยเฉพาะการกระทำผิดของจำเลยที่1ที่5ที่7และที่8เท่านั้นหาได้กล่าวถึงหรือวินิจฉัยการกระทำผิดของจำเลยที่2ถึงที่4ไม่แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาตอนหนึ่งว่านอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอันมีผลบังคับไปถึงจำเลยที่2ที่3และที่4ด้วยก็ยังถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่2ที่3และที่4จึงเป็นคำวินิจฉัยไม่ครบทุกข้อตามที่โจทก์ขอมาในอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณบำเหน็จลูกจ้างประจำ: เริ่มนับจากวันจ้างหรือวันบรรจุ การวินิจฉัยของคณะกรรมการต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์
แม้ในข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ฉบับที่11ข้อ4.1กำหนดให้นับเวลาทำงานตั้งแต่วันที่ระบุในคำสั่งให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับการบรรจุในอัตราประจำแต่ในข้อ1ก็ให้ความหมายของคำว่าผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็น ผู้มีสิทธิจะ ได้รับเงินบำเหน็จตามข้อ3ไว้ว่าหมายความว่าผู้อำนวยการรองผู้อำนวยการพนักงานหรือคนงานขององค์การซึ่งได้รับการแต่งตั้งการบรรจุหรือการจ้างให้เป็นผู้ปฏิบัติงานในองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ใน อัตราประจำ ดังนั้นพนักงานหรือคนงานไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งการบรรจุหรือการจ้างก็เป็นผู้ปฏิบัติงานซึ่ง มีสิทธิจะ ได้รับเงินบำเหน็จตามที่กำหนดในข้อ3ทั้งสิ้น การทบทวน คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ตามข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ฉบับที่10ข้อที่12จะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นคำวินิจฉัยที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ3ข้อ4โดยชอบเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ คำวินิจฉัยจึง มิชอบด้วยกฎหมายและ ยังไม่ถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องทางสาธารณะและทางภารจำยอม ศาลฎีกาวินิจฉัยกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ใช่ทางสาธารณะ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและเป็นทางสาธารณะ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมไม่เป็นทางสาธารณะ โจทก์อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ คงมีแต่จำเลยฎีกามาฝ่ายเดียวว่าทางพิพาทมิใช่ทางสาธารณะ ส่วนโจทก์มิได้ฎีกา ปัญหาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเพียงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ฎีกาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกา
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไถดินบนทางพิพาทอันเป็นทางสาธารณะ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไถคันดินและโค่นต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไถทางและต้นไม้เข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7571/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์
แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง แต่คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจหยิบยกพยานหลักฐานในสำนวนขึ้นมาวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์
ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติบังคับไว้ว่าฟ้องแย้งนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม หากเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก จากบทบัญญัติดังกล่าว หากคำฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม แม้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องนั้นไว้เป็นฟ้องแย้งก็เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งขึ้นมาก็ตาม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการสร้างประตูเหล็ก 2 บาน ปิดกั้นซอยทางเข้าออกระหว่างซอยกับโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมีสิทธิปิดกั้นประตูเหล็กทั้งสองบานตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าด้วยการปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่เช่าจากจำเลยไม่ตรงตามสัญญา ขอให้ขับไล่โจทก์และบริการกับเรียกค่าเสียหายเอาแก่โจทก์ ดังนี้คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าหรือไม่ไม่ได้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการสร้างประตูเหล็ก 2 บาน ปิดกั้นซอยทางเข้าออกระหว่างซอยกับโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูเหล็กทั้งสองบานและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมีสิทธิปิดกั้นประตูเหล็กทั้งสองบานตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าด้วยการปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่เช่าจากจำเลยไม่ตรงตามสัญญา ขอให้ขับไล่โจทก์และบริการกับเรียกค่าเสียหายเอาแก่โจทก์ ดังนี้คำฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าหรือไม่ไม่ได้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์
ฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการสร้างประตูเหล็กปิดกั้นซอยทางเข้าออกระหว่างซอยกับโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูเหล็กนั้นและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยมีสิทธิปิดกั้นประตูเหล็กดังกล่าว โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าด้วยการปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่เช่าจากจำเลยไม่ตรงตามสัญญา ขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ดังนี้คำฟ้องแย้งของจำเลยที่โจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าหรือไม่อย่างไรไม่ได้เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย และให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6624/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นซึ่งหน้าและการสบประมาทในที่ทำงาน: การวินิจฉัยความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่น
จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อหน้าโจทก์ร่วมและลูกน้องของโจทก์ร่วมว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ. ทำงานกันอย่างนี้หรือ"โดยกล่าวในที่ทำงานของโจทก์ร่วมขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้าเป็นการดูหมิ่นโจทก์ร่วมซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393และเนื่องจากถ้อยคำดังกล่าวเป็นการวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมที่กล่าวต่อโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6248/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นคู่สัญญาซื้อขาย: การนำสืบต้องตรงประเด็นข้อพิพาท
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อน หากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลัง จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6169/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกดอกเบี้ยตามฟ้อง แม้ทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่ศาลชั้นต้นให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยในอัตราตามฟ้องได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท คดีก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้เป็นการไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน