พบผลลัพธ์ทั้งหมด 254 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1518/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของอาวุธที่ใช้ทำร้ายในฟ้องไม่กระทบต่อการพิพากษา หากโจทก์นำสืบพยานหลักฐานสนับสนุนข้อเท็จจริงใหม่ได้
ในฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยใช้ของแข็งมีคมเป็นอาวุธฟันทำร้าย แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยใช้ท่อนเหล็กกลมตีทำร้ายนั้น เป็นข้อแตกต่างที่มิใช่สารสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม, บัญชีเดินสะพัด, อายุความ 10 ปี, ศาลพิพากษาตามจำนวนหนี้จริง
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวถึงการที่จำเลยตกลงจ้างโจทก์ทำการบรรทุกมันสำปะหลังส่งถึงโรงงานจำเลย โดยกำหนดราคาให้ตามน้ำหนักของมันและระยะทางที่นำส่ง ได้มีการหักค่าบรรทุกไว้ตอนที่จะขายมัน เมื่อคิดบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ขอให้ใช้ เช่นนี้ เป็นการบรรยายถึงสภาพของข้อตกลงที่จะให้จำเลยรับผิดพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยมีบัญชีต่อกัน และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างกัน ถือได้ว่าเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความย่อมมีกำหนด 10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จะลงบัญชีกันไว้ตามเอกสารที่อ้างอิงเป็นเงิน 33,494 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจหลักฐานแล้ว เห็นว่ามีจำนวนที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง 29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่แท้จริงได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกคำขอของโจทก์
โจทก์จำเลยมีบัญชีต่อกัน และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างกัน ถือได้ว่าเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความย่อมมีกำหนด 10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จะลงบัญชีกันไว้ตามเอกสารที่อ้างอิงเป็นเงิน 33,494 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจหลักฐานแล้ว เห็นว่ามีจำนวนที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง 29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่แท้จริงได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกคำขอของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหย่าและค่าเลี้ยงดูบุตร: อุทธรณ์หลังศาลพิพากษาไม่เป็นเหตุต้องห้าม
คดีฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงดูภริยาและบุตร คู่ความยอมหย่าและไม่สืบพยานเรื่องบุตรกับค่าอุปการะเลี้ยงดูขอให้ศาลพิจารณาพิพากษา เมื่อศาลพิพากษาแล้วคู่ความอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1777/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่าจากอาวุธร้ายแรง แม้ยิงไม่ถูกจุดสำคัญ ศาลพิพากษาความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยที่ 1 ใช้ปืนสั้นชนิดทำเองและกระสุนปืนลูกซองซึ่งเป็นลูกปรายยิงผู้เสียหายทางด้านหลัง 1 นัด ในระยะห่าง 2 วาเศษ กระสุนปืนเฉียดถูกไหล่ขวาได้รับบาดแผลยาวประมาณ 3 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ลึกพอผิวหนังขาด เสื้อที่ผู้เสียหายสวมทะลุ 9 รู แต่ไม่มีบาดแผล และกระสุนปืนที่ยิงยังแผ่กระจายไปถูกเสาไฟฟ้าหน้าร้านที่เกิดเหตุ 1 แห่ง ถูกหลังคาสังกะสีหน้าร้านค้าติดร้านที่เกิดเหตุอีก 7 รู ที่ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บฉกรรจ์ อาจเป็นเพราะคุณภาพของปืนไม่ดีพอหรือจำเลยที่ 1 ยิงไม่แม่นก็ได้ แต่กระสุนปืนบางกลุ่มทำให้หลังคาสังกะสีทะลุได้ แสดงว่าดินส่งกระสุนปืนหาได้ขาดประสิทธิภาพไม่และอาวุธปืนที่ใช้ยิงเป็นอาวุธที่มีอันตรายร้ายแรงหากจำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายอย่างจังไม่พลาดแล้วผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อคดีเดิม แม้โจทก์มิได้แถลงต่อศาล แต่ปรากฏชัดแก่คู่ความแล้วว่าคดีก่อนหน้านี้ศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ด โดยขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีดำที่ 197/2517 ของศาลมณฑลทหารบกที่6(ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด) ศาลอ่านคำพิพากษาลงโทษคดีดำที่197/2517 ก่อนและในวันเดียวกันนั้นก็อ่านคำพิพากษาลงโทษคดีนี้ติดต่อกันไปเลย โดยยังมิได้นำสำนวนคดีดำที่197/2517 นั้นไปลงสารบบออกเลขคดีแดงเสียก่อน โจทก์จึงไม่มีโอกาสแถลงให้ศาลทราบได้ก่อนว่า คดีดำที่ 197/2517 นั้นเป็นคดีหมายเลขแดงที่เท่าใด แต่ก็ย่อมปรากฏชัดแก่ศาลและคู่ความแล้วว่าคดีดำที่ 197/2517 นั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วโดยไม่จำต้องให้โจทก์แถลงแก่ศาลซ้ำ ศาลย่อมพิพากษาให้นับโทษคดีนี้ต่อกับโทษคดีดำที่ 197/2517 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำขอในคดีที่ดินและค่าใช้จ่ายทำแผนที่วิวาท ศาลพิพากษาตามข้อเท็จจริงเกินคำขอไม่ได้
คำร้องให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินระบุเนื้อที่ประมาณ 243 ตารางวา แต่ได้ความตามแผนที่วิวาทเกินออกไปอีก 40 ตารางวา ศาลพิพากษาให้ตามที่ได้ความ ไม่เป็นการเกินคำขอ
ค่าใช้จ่ายในการทำแผนที่วิวาท ซึ่งศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินทำตามที่คู่ความตกลงกัน เป็นค่าฤชาธรรมเนียมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ซึ่งศาลสั่งให้เป็นพับแก่โจทก์ผู้แพ้คดีได้
ค่าใช้จ่ายในการทำแผนที่วิวาท ซึ่งศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินทำตามที่คู่ความตกลงกัน เป็นค่าฤชาธรรมเนียมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ซึ่งศาลสั่งให้เป็นพับแก่โจทก์ผู้แพ้คดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2847/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตที่ดินพิพาท: ศาลใช้แผนที่กลางเป็นหลัก หากพิพากษาไม่เกินเนื้อที่ในแผนที่ ไม่ถือว่าเกินคำขอ
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่โดยระบุความกว้างยาว และอาณาเขตติดต่อมาในคำฟ้องด้วยชั้นพิจารณาคู่ความตกลงขอให้ศาลสั่งเจ้าหน้าที่ทำแผนที่กลางคู่ความทั้งสองฝ่ายตรวจดูแผนที่ดังกล่าวแล้วรับว่าถูกต้อง ดังนี้เมื่อมีการทำแผนที่กลางเนื้อที่มากขึ้นหรือน้อยลงจากคำฟ้องอย่างไรก็ต้องถือตามแผนที่กลาง และถ้าศาลพิพากษาให้ฝ่ายชนะคดีได้ที่ดินไม่เกินจำนวนตามแผนที่กลางระบุไว้ ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการพิจารณาคดีเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงแบ่งที่ดินระหว่างการพิจารณาคดี: ศาลมีอำนาจพิพากษาตามข้อตกลงได้
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องที่ดินก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาคู่ความแถลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า "ตกลงกันได้แล้วโดยตกลงกันแบ่งที่ดินคนละครึ่ง โดยจำเลยได้ด้านทิศเหนือ โจทก์ได้ด้านทิศใต้ โจทก์จำเลยตกลงจะไปแบ่งกันเอง และจะแถลงให้ศาลทราบ" ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องอ้างว่าข้อตกลงนั้นทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะจะได้แต่ที่ดอนซึ่งเป็นป่า ขอให้เรียกจำเลยมาทำความตกลงกันใหม่จำเลยแถลงคัดค้านว่า ข้อตกลงนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ศาลพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ดังนี้ ศาลชอบที่จะพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 เพราะข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2297/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขคำให้การได้ แม้ไม่เกี่ยวกับคำให้การเดิม ศาลพิพากษาตามเนื้อที่พิพาทที่คู่ความรับรอง ไม่เกินคำขอ
การแก้ไขคำให้การนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่า ข้อความที่ขอแก้ไขใหม่จะต้องเกี่ยวกับคำให้การเดิมหรือข้ออ้างเดิมคงบัญญัติห้ามเฉพาะเรื่องคำฟ้องเท่านั้น ฉะนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่กล่าวแก้ข้อหาของโจทก์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิมหรือไม่ จึงไม่สำคัญ
แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยแต่ศาลฎีกาสั่งรับหากปรากฏว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในท้องสำนวน พอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมีโฉนดที่โจทก์ครอบครอง โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์รวม 3 ส่วน ในจำนวน 6 ส่วนหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของโฉนด แม้มิได้ขอเจาะจงว่าที่ดินส่วนใดเป็นของโจทก์ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ซึ่งคู่ความนำชี้เนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของโฉนดเป็นของโจทก์ศาลย่อมพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นของโจทก์ได้หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเกินคำฟ้องไม่
แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยแต่ศาลฎีกาสั่งรับหากปรากฏว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในท้องสำนวน พอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมีโฉนดที่โจทก์ครอบครอง โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์รวม 3 ส่วน ในจำนวน 6 ส่วนหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของโฉนด แม้มิได้ขอเจาะจงว่าที่ดินส่วนใดเป็นของโจทก์ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ซึ่งคู่ความนำชี้เนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของโฉนดเป็นของโจทก์ศาลย่อมพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นของโจทก์ได้หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเกินคำฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งห้ามชั่วคราวสิ้นผลเมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง แม้มีการฝ่าฝืนคำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามชั่วคราว ให้จำเลยระงับการก่อสร้างชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ต่อมาจำเลยฝ่าฝืน โจทก์ขอให้ออกหมายจับจำเลยมาคุมขังและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า จำเลยมิได้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชั่วคราว ยกคำร้องและต่อมาพิพากษายกฟ้องของโจทก์ โดยมิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวที่ได้สั่งไว้ในระหว่างพิจารณา ถือว่าคำสั่งกำหนดวิธีการ(หมายห้ามชั่วคราว) เป็นอันยกเลิกไปในตัวการที่จะจับและจำขังจำเลยเมื่อปฏิบัติตามกฎหมายชั่วคราวที่ยกเลิกไปแล้วไม่อาจกระทำได้