พบผลลัพธ์ทั้งหมด 391 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3889/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้ทายาทตามสัญญากู้: การกระทำแสดงเจตนาชัดเจนเพียงพอ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
จำเลยทั้งหกเป็นทายาทผู้รับมรดกของเจ้ามรดกซึ่งเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ตามสัญญากู้ การที่จำเลยทั้งหกรับว่าจะชดใช้หรือให้โจทก์และได้ขอยืมโฉนดที่โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันไปจากโจทก์เพื่อนำไปขอจดทะเบียนรับมรดกแล้วนำมาคืนให้โจทก์ยึดถือไว้ตามเดิมนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 หาจำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือเสมอไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2044/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ประธาน-หนี้อุปกรณ์: สิทธิโจทก์เลือกฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้หรือจำนองก็ได้
คำให้การของจำเลยปรากฏชัดว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้กับโจทก์ไว้ในฐานะเป็นหนี้ประธาน ส่วนสัญญาจำนองได้ทำไว้เพียงเพื่อประกันหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ หนี้จำนองจึงเป็นเพียงหนี้อุปกรณ์ โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินให้จำเลยตามสัญญาจำนอง เมื่อจำเลยรับว่าโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไปภายหลังวันทำสัญญากู้เพียง 1 วัน ก็ต้องถือว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปตามสัญญากู้ สัญญากู้ดังกล่าวจึงบริบูรณ์ตามกฎหมาย
เมื่อหนี้ตามสัญญากู้เป็นหนี้ประธาน และหนี้ตามสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์หนี้ทั้งสองประเภทจึงอาจแยกเป็นส่วนออกต่างหากจากกันได้ โดยอำนาจแห่งมูลหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้หรือตามสัญญาจำนองก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว
เมื่อหนี้ตามสัญญากู้เป็นหนี้ประธาน และหนี้ตามสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์หนี้ทั้งสองประเภทจึงอาจแยกเป็นส่วนออกต่างหากจากกันได้ โดยอำนาจแห่งมูลหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้หรือตามสัญญาจำนองก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2044/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ประธาน-หนี้อุปกรณ์: โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้ได้ทั้งสัญญากู้และจำนอง
คำให้การของจำเลยปรากฏชัดว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้กับโจทก์ไว้ในฐานะเป็นหนี้ประธาน ส่วนสัญญาจำนองได้ทำไว้เพียงเพื่อประกันหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ หนี้จำนองจึงเป็นเพียงหนี้อุปกรณ์โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินให้จำเลยตามสัญญาจำนองเมื่อจำเลยรับว่าโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไปภายหลังวันทำสัญญากู้เพียง 1 วัน ก็ต้องถือว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปตามสัญญากู้ สัญญากู้ดังกล่าวจึงบริบูรณ์ตามกฎหมาย
เมื่อหนี้ตามสัญญากู้เป็นหนี้ประธาน และหนี้ตามสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์หนี้ทั้งสองประเภทจึงอาจแยกเป็นส่วนออกต่างหากจากกันได้ โดยอำนาจแห่งมูลหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้หรือตามสัญญาจำนองก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว
เมื่อหนี้ตามสัญญากู้เป็นหนี้ประธาน และหนี้ตามสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์หนี้ทั้งสองประเภทจึงอาจแยกเป็นส่วนออกต่างหากจากกันได้ โดยอำนาจแห่งมูลหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญากู้หรือตามสัญญาจำนองก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างเอกสารสัญญากู้เงิน: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับเอกสารหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบตัวจำเลยและพยานบุคคลอีกสองคนว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่า มีการกรอกข้อความที่ผิดความจริงว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างเอกสารสัญญากู้เงิน: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ต่างจากเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบตัวจำเลยและพยานบุคคลอีกสองคนว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่า มีการกรอกข้อความที่ผิดความจริงว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2059/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่ทำขึ้นโดยเจตนาลวงเพื่อผลประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่การรับเงินกู้ ย่อมใช้บังคับไม่ได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ก็เพื่อเอาใจโจทก์ เพราะขณะนั้นจำเลยถูกฟ้องคดีอาญา ต้องการจะเอาบุตรซึ่งเกิดจากสามีของโจทก์คนก่อนมาเป็นพยานให้จำเลยในคดีที่ถูกฟ้อง และเกรงว่าโจทก์จะร้องเรียนผู้บังคับบัญชาทางวินัย เพราะจำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนที่จะได้โจทก์เป็นภรรยา ส่วนทางโจทก์ก็ประสงค์จะใช้สัญญากู้เป็นข้อต่อรองให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับภรรยาคนเดิมแล้วจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ โดยมิได้มีการรับเงินกันตามสัญญากู้จริงดังนี้ สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาทำขึ้นโดย เจตนาลวงไม่ประสงค์จะผูกพันกัน จึงใช้บังคับไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2056/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้และการมอบเช็คชำระหนี้: ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง แม้เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ ผู้กู้ยังต้องรับผิดตามสัญญา
การนำเช็คไปแลกเงินสดและทำสัญญากู้ไว้โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าเช็คขึ้นเงินไม่ได้จะต้องชำระเงินตามสัญญากู้ หรือการกู้เงินโดยทำหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐานและมอบเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้กู้นำไปขึ้นเงิน เมื่อหนี้ถึงกำหนด หามีผลแตกต่างกันไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้ วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลัง เพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนด ทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง โดยโจทก์คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่ เป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง สัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้อง ผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้ วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลัง เพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนด ทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง โดยโจทก์คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่ เป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง สัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้อง ผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2056/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินพร้อมมอบเช็คเป็นหลักประกัน มิใช่นิติกรรมอำพราง แม้เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ ผู้กู้ยังคงมีหน้าที่ชำระหนี้
การนำเช็คไปแลกเงินสดและทำสัญญากู้ไว้โดยมีข้อตกลงว่าถ้าเช็คขึ้นเงินไม่ได้จะต้องชำระเงินตามสัญญากู้หรือการกู้เงินโดยทำหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐานและมอบเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้กู้นำไปขึ้นเงินเมื่อหนี้ถึงกำหนดหามีผลแตกต่างกันไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลังเพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนดทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งโดยโจทก์ คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่เป็นเรื่องนิติกรรมอำพรางสัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้นหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลังเพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนดทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งโดยโจทก์ คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่เป็นเรื่องนิติกรรมอำพรางสัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้นหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงและสมรู้ร่วมกันระหว่างคู่กรณี เป็นโมฆะตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง เดิมจำเลยถูกศาลพิพากษาให้ชำระหนี้ให้สามีโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินเดือนฯ ของจำเลยต่อนายจ้างของจำเลย เมื่อนายจ้างของจำเลยส่งเงินมายังกรมบังคับคดีครบตามจำนวนหนี้แล้ว สามีโจทก์จึงขอถอนการอายัดและให้จำเลยไปรับเงินจากกรมบังคับคดีมาให้สามีโจทก์ แต่สามีโจทก์เกรงว่าเมื่อจำเลยรับเงินแล้วจะไม่นำมาให้สามีโจทก์ จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้แก่โจทก์ จำเลยได้รับเงินจากกรมบังคับคดีและมอบให้สามีโจทก์แล้วสามีโจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ แต่โจทก์กลับนำเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยต่อสู้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118
จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงและสมรู้กัน ทำให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ อีกทั้งการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพยานเอกสาร
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง เดิมจำเลยถูกศาลพิพากษาให้ชำระหนี้ให้สามีโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินเดือนฯของจำเลยต่อนายจ้างของจำเลย เมื่อนายจ้างของจำเลยส่งเงินมายังกรมบังคับคดีครบตามจำนวนหนี้แล้วสามีโจทก์จึงขอถอนการอายัดและให้จำเลยไปรับเงินจากกรมบังคับคดีมาให้สามีโจทก์ แต่สามีโจทก์เกรงว่าเมื่อจำเลยรับเงินแล้วจะไม่นำมาให้สามีโจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้แก่โจทก์ จำเลยได้รับเงินจากกรมบังคับคดีและมอบให้สามีโจทก์แล้ว สามีโจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ แต่โจทก์กลับนำเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยต่อสู้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย