คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หน้าที่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 709 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นผู้อื่นและเจ้าพนักงาน: การพิจารณาบริบทและความเกี่ยวข้องกับหน้าที่
จำเลยว่าผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็นผู้หญิงต่ำ ๆ ต่อหน้าผู้อื่นซึ่งเป็นคำพูดที่เหยียดหยามผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีมีศักดิ์ศรีต่ำกว่าผู้หญิงทั่วไปเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งหน้า หาใช่เป็นคำพูดในเชิงปรารถปรับทุกข์ไม่
ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ในการปราบ-ปรามสืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดทางอาญา หาได้เกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลพิพาทกันในทางแพ่งไม่ แม้คู่กรณีนำเรื่องทางแพ่งไปแจ้งให้จัดการไกล่เกลี่ยเปรียบเทียบและผู้เสียหายที่ 2 ทำการไกล่เกลี่ยให้ และจัดการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานก็หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจโดยตรงตามกฎหมายไม่ คงเป็นแต่เพียงอัชฌาสัยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนเท่านั้น การกระทำของผู้เสียหายที่ 2 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของเจ้า-พนักงาน แม้จำเลยได้พูดถ้อยคำว่า "มันก็เข้าข้างกัน" ก็ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่น-เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นผู้อื่นและเจ้าพนักงาน: เจตนาและขอบเขตหน้าที่ตามกฎหมาย
จำเลยว่าผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็นผู้หญิงต่ำ ๆ ต่อหน้าผู้อื่นซึ่งเป็นคำพูดที่เหยียดหยามผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีมีศักดิ์ศรีต่ำกว่าผู้หญิงทั่วไปเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายที่ 1ซึ่งหน้า หาใช่เป็นคำพูดในเชิงปรารถปรับทุกข์ไม่ ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ในการปราบปรามสืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดทางอาญา หาได้เกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลพิพาทกันในทางแพ่งไม่ แม้คู่กรณีนำเรื่องทางแพ่งไปแจ้งให้จัดการไกล่เกลี่ยเปรียบเทียบและผู้เสียหายที่ 2 ทำการไกล่เกลี่ยให้ และจัดการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานก็หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจโดยตรงตามกฎหมายไม่คงเป็นแต่เพียงอัชฌาสัยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนเท่านั้น การกระทำของผู้เสียหายที่ 2จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของเจ้าพนักงาน แม้จำเลยได้พูดถ้อยคำว่า "มันก็เข้าข้างกัน" ก็ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตำแหน่ง: การที่ตำแหน่งจ่าศาลครอบคลุมหน้าที่บังคับคดีโดยไม่ต้องออกหมายตั้งเฉพาะ
การที่ศาลจังหวัดพะเยาได้ออกหมายบังคับคดีตั้งจ่าศาลจังหวัดพะเยาเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่16/2528 ของศาลจังหวัดพะเยานั้น เป็นการตั้งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งจ่าศาลจังหวัดพะเยาหาใช่ตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะไม่ฉะนั้นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งจ่าศาลจังหวัดพะเยาอยู่ในขณะออกหมายบังคับคดี ตลอดจนบุคคลที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งจ่าศาลจังหวัดพะเยาในเวลาต่อมา ย่อมเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าวจนกว่าการบังคับคดีจะเสร็จสิ้น เมื่อจำเลยย้ายมาดำรงตำแหน่งจ่าศาลจังหวัดพะเยาในขณะที่การบังคับคดีแพ่งดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าวตามหมายบังคับคดีที่ศาลจังหวัดพะเยาได้ออกไว้แล้ว โดยไม่จำต้องออกหมายบังคับคดีตั้งจำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ผู้จัดการมรดก: การไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกนานเกินไปถือละเลยหน้าที่
หน้าที่สำคัญของผู้จัดการมรดกคือ รวบรวมทรัพย์มรดกของผู้ตายมาแบ่งปันให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิ หากผู้ร้องเห็นว่า ตนมีสิทธิในทรัพย์มรดกดังกล่าวเพียงผู้เดียวก็ชอบที่จะเรียกร้องเอาทรัพย์ดังกล่าวจากฝ่ายที่โต้แย้งโดยตรงอย่างคดีมีข้อพิพาท เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องไม่ยินยอมแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทอื่น ๆ เป็นเวลาประมาณ 2 ปี นับแต่ศาลมีคำสั่งให้ตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน จึงถือได้ว่าผู้ร้องละเลยมิได้ปฏิบัติการตามหน้าที่ผู้จัดการมรดก หากให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกต่อไปย่อมจะล่าช้า ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดกและทายาทได้ จึงมีเหตุสมควรให้ศาลถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1971/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตหน้าที่ภาษีจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ: กรณีตัวแทนจำหน่าย vs. ผู้ทำการแทน
บริษัทในต่างประเทศทำสัญญาตั้งโจทก์ให้เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าแต่ผู้เดียวในประเทศไทย การซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับบริษัทต่างประเทศดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ประกอบกิจการซื้อขายสินค้าในประเทศไทยด้วยตนเองมิได้เป็นลูกจ้างผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อให้บริษัทผู้ขายในต่าง-ประเทศ โจทก์จึงไม่มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการ และเสียภาษี-เงินได้นิติบุคคลแทนบริษัทต่างประเทศตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ
การซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับบริษัทในต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ทำสัญญาตั้งผู้แทนจำหน่าย จึงเป็นกรณีที่โจทก์มิได้ทำการแทนหรือทำการติดต่อให้บริษัทดังกล่าว โจทก์จึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแทนบริษัทต่างประเทศตามประมวลรัษฎกร มาตรา 76 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเรียกรับเงินเพื่อจูงใจเจ้าพนักงาน: การกระทำความผิดเกิดขึ้นแม้เจ้าพนักงานยังมิได้กระทำการตามที่ถูกจูงใจ
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 เรียกและรับเงินจากผู้เสียหายโดยอ้างว่าเพื่อจะนำไปให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารแก่ผู้เสียหาย เพื่อเป็นการจูงใจให้เจ้าพนักงานกระทำการในหน้าที่ อันเป็นคุณแก่ผู้เสียหายโดยวิธีอันทุจริตผิดกฎหมาย การกระทำอันเป็นความผิดในกรณีนี้มิได้อยู่ที่เจ้าพนักงานได้กระทำการในหน้าที่แล้วหรือไม่ แม้เจ้าพนักงานจะได้ออกใบอนุญาตไปแล้วก็ยังคงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายการออกใบอนุญาตไปแล้วมิได้ทำให้ฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลรับฟังเทปบันทึกเสียงของจำเลยที่ 1 ที่ผู้เสียหายอัดเสียงไว้จากการสนทนาเรียกเงินกันทางโทรศัพท์และได้ถอดเทปเป็นตัวอักษร เป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำบัญชีทรัพย์มรดกโดยผู้จัดการมรดกต่อหน้าพยานและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก
ผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกเสนอให้ผู้ร้องและผู้ร้องสอดซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียตรวจดูแล้วแต่ผู้ร้องและผู้ร้องสอดไม่ยอมลงชื่อรับรองเพราะผู้คัดค้านทั้งสองไม่ยอมลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ การทำบัญชีทรัพย์มรดกของผู้คัดค้านทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการทำบัญชีต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1729 วรรคสอง แล้วแม้ผู้ร้องและผู้ร้องสอดไม่ลงชื่อในบัญชีทรัพย์มรดก ก็ไม่ทำให้การทำบัญชีทรัพย์มรดกเสียไป บัญชีทรัพย์มรดกมีรายละเอียดต่าง ๆ ตามสมควรโดยระบุยอดเงินฝากในธนาคารซึ่งคำนวณดอกเบี้ยไว้ ใบหุ้นก็ได้ระบุราคาตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ซื้อขายสลากออมสินแม้จะยังมิได้คิดดอกเบี้ย แต่สามารถคำนวณดอกเบี้ยได้เมื่อสลากครบอายุ ส่วนการกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ก็อาศัยเกณฑ์ตามราคาประเมินของกรมที่ดินทรัพย์บางรายการที่ระบุว่าเป็นมรดกหรือไม่เป็นมรดกก็ระบุไปตามความเห็นโดยสุจริต ไม่มีเหตุแสดงว่าระบุโดยเจตนาทุจริตจะเบียดบังทรัพย์มรดกเป็นของตน จึงไม่มีเหตุจะสั่งถอนผู้จัดการมรดกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5434/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าช่วง: สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการเช่าช่วงและการคืนเงินค่าเช่า
โจทก์ทำสัญญาเช่าช่วงอาคารจากจำเลยทั้งสอง และตกลงจะไปจดทะเบียนการเช่าช่วงโดยทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการในการที่จะจดทะเบียนการเช่าช่วงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้กำหนดวันที่จะจดทะเบียนการเช่าช่วงแล้ว เป็นการที่จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาไปแล้วทุกประการ การที่จำเลยที่ 1 ถูกผู้ให้เช่าเดิมฟ้องขับไล่ออกจากทรัพย์ที่เช่าและศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และผู้ให้เช่าเดิมได้คัดค้านการให้เช่าช่วงนั้น ไม่อาจจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาแต่ประการใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
เงินที่จำเลยที่ 1 รับจากโจทก์ในวันทำสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของเงินค่าตอบแทนการที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าช่วง เมื่อมิได้มีการจดทะเบียนการเช่าช่วงกัน จำเลยที่ 1ก็ไม่มีสิทธิอันใดที่จะได้เงินค่าตอบแทนจากโจทก์ ชอบที่จะให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมตามนัย-แห่ง ป.พ.พ. มาตรา 391 จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินนั้นให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน: การกระทำนอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามระเบียบราชการ
จำเลยเป็นข้าราชการตำแหน่งสหกรณ์อำเภอ สังกัดกรมส่งเสริมสหกรณ์คณะกรรมการสหกรณ์การเกษตร ส. จำกัด แต่งตั้งจำเลยเป็นกรรมการออกข้อสอบและตรวจข้อสอบเพื่อรับบรรจุพนักงาน เมื่อสหกรณ์ดังกล่าวเป็นนิติบุคคลต่างหากไม่ใช่หน่วยงานในกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบโดยตรง ทั้งมติคณะกรรมการสหกรณ์ดังกล่าวก็ไม่มีระเบียบของทางราชการว่าให้ทำได้และจำเลยจะต้องปฏิบัติตาม และการเป็นกรรมการสอบก็ไม่ใช่งานในหน้าที่รับผิดชอบของจำเลย การเป็นกรรมการของจำเลยจึงไม่ใช่เจ้าพนักงานกระทำการในตำแหน่งของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับทรัพย์สินโดยมิชอบหรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน: การกระทำนอกเหนือหน้าที่และขอบเขตอำนาจ
จำเลยรับราชการในตำแหน่งสหกรณ์อำเภอได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการสหกรณ์การเกษตร ส. ให้เป็นกรรมการออกข้อสอบและตรวจข้อสอบคัดเลือกพนักงานบัญชีเพื่อบรรจุเข้าทำงานในสหกรณ์การเกษตร ส.สหกรณ์การเกษตรส. เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากไม่ใช่หน่วยงานในกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบโดยตรงและมติของคณะกรรมการสหกรณ์ดังกล่าวก็ไม่มีระเบียบของทางราชการว่าให้ทำได้และจำเลยจะต้องปฏิบัติตาม ทั้งการเป็นกรรมการสอบก็ไม่ใช่หน้าที่และความรับผิดชอบของสำนักงานสหกรณ์อำเภอตามระเบียบที่วางไว้ แม้จำเลยจะได้เรียกเอาเงินเพื่อช่วยเหลือให้นางสาวอ.สอบได้และได้รับการบรรจุแต่งตั้ง ก็มิใช่เป็นเจ้าพนักงานกระทำการในตำแหน่ง จำเลยไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง
of 71