พบผลลัพธ์ทั้งหมด 388 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชน vs. ฉ้อโกงธรรมดา และความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต: การตีความเจตนาและองค์ประกอบความผิด
จำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมายให้ประกอบกิจการจัดหางาน แต่จำเลยได้ใช้การประกอบกิจการจัดหางานเป็นกลอุบายหลอกลวงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเพื่อให้ส่งมอบเงินค่าบริการแก่จำเลย การหลอกลวงดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนโดยทั่วไป เพียงแต่จำเลยชักชวนผู้เสียหายที่บ้าน แล้วพวกผู้เสียหายก็ชวนกันไปสมัครงานกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 คงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาจัดหางานให้แก่คนหางานโดยเรียกและรับเงินค่าบริการจากคนหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน โดยบรรยายฟ้องในข้อหาฉ้อโกงประชาชนว่า ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาและไม่สามารถที่จะจัดส่งผู้ใดไปทำงานได้ตามที่ได้หลอกลวงไว้แต่อย่างใด เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายแต่ประการใด จำเลยเพียงแต่อ้างการจัดหางานมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีเช็ค – ไม่จำต้องสืบพยานเพิ่มเติม
ในคดีความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน1 ปี โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยแม้เป็นกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดก็ต้องรับฟังเป็นยุติดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3827/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องฐานขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินตามประกาศคณะปฏิวัติ จำเป็นต้องบรรยายถึงองค์ประกอบความผิดเฉพาะที่ฟ้องหรือไม่
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 56 นั้น ผู้อำนวยการทางหลวงมีอำนาจประกาศห้ามใช้ยานพาหนะที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนดประการหนึ่ง และห้ามใช้ยานพานะที่อาจทำให้ทางหลวงเสียหายอีกประการหนึ่ง ดังนั้นเมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยขับรถยนต์ประเภทประกอบการขนส่งส่วนบุคคล มี 3 เพลา 6 ล้อ ชนิดเพลาที่ 2 ที่ 3 เป็นเพลาคู่ใช้ยางคู่ ซึ่งตามประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินกำหนดว่าต้องมีน้ำหนักลงเพลาไม่เกินเพลาละ 8,200 กิโลกรัม หรือน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 21,000 กิโลกรัม บรรทุกหินเกล็ดไปตามถนน อันเป็นทางหลวงแผ่นดินโดยมีน้ำหนักยานพาหนะน้ำหนักบรรทุกรวม 35,210 กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่ากำหนดตามประกาศดังกล่าวไป 14,210 กิโลกรัม อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเป็นการบรรยายถึงองค์ประกอบแห่งความผิดตามีที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษครบถ้วนแล้ว หาจำต้องบรรยายมาด้วยว่าอาจทำให้ทางหลวงเสียหายด้วยไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟัองขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้ยานพาหนะที่อาจทำให้ทางหลวงเสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3640/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชน – การพิสูจน์เจตนาทุจริตและองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงประชาชนด้วยการโฆษณาแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทจัดหางานในกรุงเทพมหานคร เปิดรับสมัครคนงานไปทำงานในต่างประเทศ ความจริงจำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวและไม่สามารถจัดหางานตามที่โฆษณาได้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่อ้างว่าเป็นตัวแทนของบริษัทจัดหางานก็เพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าว ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองเพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับพวกรู้ว่าไม่สามารถส่งคนงานไปทำงานต่างประเทศได้ ข้อความที่จำเลยแสดงต่อประชาชนเป็นความเท็จ การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยโฆษณาด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อเป็นความเท็จอย่างไร จึงลงโทษจำเลยไม่ได้นั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโดยเจตนาทุจริตได้บังอาจหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ชาวบ้านหนองผักชีว่าจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทจัดหางานในกรุงเทพมหานครเปิดรับสมัครคนงานไปทำงานยังเกาะไซปัน ประเทศฟิลิปปินส์ เงินเดือนสูงรายได้ดี ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นความจริง ความจริงจำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนของบริษัทจัดหางานในกรุงเทพมหานคร และไม่สามารถจัดหางานให้ผู้สมัครไปทำงานตามที่จำเลยโฆษณาได้ จำเลยได้ปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน โดยการหลอกลวงดังกล่าวมีประชาชนไปสมัครงานกับจำเลยจำนวน 12 คน ได้เสียค่าบริการ ค่านายหน้าให้แก่จำเลย เป็นการบรรยายฟ้องที่ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343 แล้ว ไม่เคลือบคลุม พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับใบเสร็จรับเงินที่จำเลยกับพวกได้ออกให้ผู้เสียหายโดยการถ่ายภาพรวมสำนวนไว้แล้วแม้จะคืนต้นฉบับให้ผู้เสียหายไป ก็ถือได้ว่าใบเสร็จดังกล่าวเป็นเอกสารส่วนหนึ่งในสำนวนการสอบสวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3624/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน: ไม่ต้องระบุชื่อผู้เสียหายในฟ้อง
การผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โจทก์ต้องบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบว่าจำเลยหลอกประชาชนโดยทุจริตและโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง ส่วนประชาชนผู้ใดบ้างเป็นผู้ที่ถูกจำเลยหลอกลวงและจำเลยได้ทรัพย์สินจากผู้ใดบ้างเห็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา การที่โจทก์มิได้ระบุชื่อประชาชนผู้ถูกหลอกลวงหรือผู้เสียหายมาในฟ้อง จึงไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ทำการหลอกลวงประชาชนในเขตตำบลสักหลง ตำบลบ้านกลาง และตำบลวัดป่า จังหวัดเพชรบูรณ์ การหลอกลวงของจำเลยเป็นเหตุให้ประชาชนในท้องที่ดังกล่าวหลงเชื่อและได้นำใบยาสูบแห้งจำนวน 2,462 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 29,491 บาท ไปมอบให้จำเลยกับพวก ถือได้ว่าได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ทำการหลอกลวงประชาชนในเขตตำบลสักหลง ตำบลบ้านกลาง และตำบลวัดป่า จังหวัดเพชรบูรณ์ การหลอกลวงของจำเลยเป็นเหตุให้ประชาชนในท้องที่ดังกล่าวหลงเชื่อและได้นำใบยาสูบแห้งจำนวน 2,462 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 29,491 บาท ไปมอบให้จำเลยกับพวก ถือได้ว่าได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3624/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน: ไม่ต้องระบุชื่อผู้เสียหายในฟ้อง หากบรรยายพฤติการณ์หลอกลวงและทรัพย์สินที่ได้ไปครบถ้วน
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343โจทก์ต้องบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบว่าจำเลยหลอกลวงประชาชนโดยทุจริตและโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง ส่วนประชาชนผู้ใดบ้างเป็นผู้ที่ถูกจำเลยหลอกลวงและจำเลยได้ทรัพย์สินจากผู้ใดบ้างเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา การที่โจทก์มิได้ระบุชื่อประชาชนผู้ถูกหลอกลวงหรือผู้เสียหายมาในฟ้อง จึงไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ทำการหลอกลวงประชาชนในเขตตำบลสักหลง ตำบลบ้านกลาง และตำบลวัดป่า จังหวัดเพชรบูรณ์การหลอกลวงของจำเลยเป็นเหตุให้ประชาชนในท้องที่ดังกล่าวหลงเชื่อและได้นำใบยาสูบแห้งจำนวน 2,462 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน29,491 บาทไปมอบให้จำเลยกับพวก ถือได้ว่าได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1935/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องอาญาเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บสาหัสและการรับสารภาพของจำเลย
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน แต่ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องระบุว่า บาดแผลของผู้เสียหายถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายภายใน 1 เดือนซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้เสียหายอาจรักษาตัวเพียง 5 วัน หรือ 10 วัน ก็หายเป็นปกติได้ ก็เป็นเพียงความเห็นของแพทย์ที่ทำไว้ขณะตรวจรักษาบาดแผลของผู้เสียหายเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าความเห็นดังกล่าวขัดกับคำบรรยายฟ้องของโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
แม้ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องมิได้ระบุให้เห็นว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา297 อย่างไร และข้อที่อ้างว่าจะรักษาหายได้ภายใน 1 เดือน ก็เป็นไปได้ว่าอาจรักษาหายได้ภายใน 5 หรือ 10 วันก็ตาม แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน ซึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้เช่นนั้นและลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ได้.
แม้ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องมิได้ระบุให้เห็นว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา297 อย่างไร และข้อที่อ้างว่าจะรักษาหายได้ภายใน 1 เดือน ก็เป็นไปได้ว่าอาจรักษาหายได้ภายใน 5 หรือ 10 วันก็ตาม แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน ซึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้เช่นนั้นและลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กำลังข่มขืนใจบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ และความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ศาลพิจารณาองค์ประกอบความผิด
จำเลยที่ 3 ตบตีบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเมื่อผู้เยาว์ดมทินเนอร์แล้วจะเกิดผลอะไรที่เป็นเหตุไม่ให้ผู้เยาว์หลบหนีไปตามเจตนาของจำเลย และกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลรู้เอง จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กับพวก ร่วมกันทำร้ายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะ บังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ การกระทำตามคำฟ้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้นคำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกแม้โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 310 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก อันเป็นบทมาตราที่ถูกต้องได้ และการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 391
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กับพวก ร่วมกันทำร้ายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะ บังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ การกระทำตามคำฟ้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้นคำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกแม้โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 310 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก อันเป็นบทมาตราที่ถูกต้องได้ และการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีป่าไม้ต้องระบุชัดเจนถึงการเคลื่อนย้ายไม้หรือของป่าหลังได้รับอนุญาต หรือถึงด่านป่าไม้ด่านแรก
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยนำหมายเคลื่อนที่จากแห่งหนึ่งไปถึงอีกแห่งหนึ่งโดยผ่านเข้าเขตด่านป่าไม้ของอีกแห่งหนึ่งนั้น โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ต่อไปภายหลังที่ไปถึงที่อันระบุไว้ในใบอนุญาตหรือไปถึงด่านป่าไม้ด่านแรกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 38 (1) หรือ (2) อันจะทำให้เป็นความผิดตามมาตรา 39, 71 จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1420/2509)
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1420/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับไม้ของป่า ต้องระบุชัดเจนถึงการเคลื่อนย้ายไม้หลังจากได้รับอนุญาตหรือถึงด่านป่าไม้แล้ว จึงจะครบองค์ประกอบความผิด
การนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ต่อไป ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 38 ซึ่งต้องมีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วยตามมาตรา 39 นั้น จะต้องปรากฏว่าได้มีการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ต่อไปภายหลังที่นำไม้หรือของป่าที่ได้รับใบอนุญาตไปถึงที่อันระบุไว้ในใบอนุญาตแล้ว หรือนำไม้ที่ทำโดยไม่ต้องรับอนุญาตออกไปถึงด่านป่าไม้ด่านแรกแล้ว ดังนั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยนำหวายเคลื่อนที่จากจังหวัดหนองคายมาถึงอำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม โดยผ่านเข้าเขตด่านป่าไม้ จังหวัดนครพนม โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการนำไม้เคลื่อนที่ต่อไปภายหลังที่ไปถึงที่อันระบุไว้ในใบอนุญาต หรือไปถึงด่านป่าไม้ด่านแรกตามมาตรา 38(1) หรือ (2) จึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้.