คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจ้าของรวม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 275 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3832/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและการบังคับคดี: เจ้าของรวมไม่มีสิทธิขัดขวางการขายทอดตลาด แต่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผลการขาย
ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยทั้งแปลง มิได้มีกรรมสิทธิ์ส่วนไหนแยกต่างหากไปจากจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนที่ดินของตนจากที่ดินที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำยึดไว้ แต่ชอบที่จะขอกันส่วนของตนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
ที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อผู้ร้องทั้งสี่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายข้างมากจะได้ตกลงแบ่งที่ดินกับจำเลยก่อนนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแล้ว หากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายอมก่อให้เกิดหรือโอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 จึงไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3832/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและการบังคับคดี: เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมไม่มีสิทธิกันส่วนที่ดินก่อนการขายทอดตลาด แต่มีสิทธิเรียกร้องจากเงินที่ได้จากการขาย
ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยทั้งแปลง มิได้มีกรรมสิทธิ์ส่วนไหนแยกต่างหากไปจากจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนที่ดินของตนจากที่ดินที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำยึดไว้ แต่ชอบที่จะขอกันส่วนของตนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
ที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อผู้ร้องทั้งสี่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายข้างมากจะได้ตกลงแบ่งที่ดินกับจำเลยก่อนนั้นเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินแล้ว หากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายอมก่อให้เกิดหรือโอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 จึงไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์มรดก: ผู้จัดการมรดกมีอำนาจดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียว เจ้าของรวมไม่มีอำนาจฟ้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ที่บัญญัติว่า "เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก ฯลฯ" หมายความว่าเมื่อมีบุคคลภายนอกมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งอาจฟ้องร้องว่ากล่าวหรือต่อสู้คดีโดยลำพังผู้เดียวได้
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ตามคำสั่งศาล จึงย่อมมีอำนาจจัดการมรดกของ จ.ตามกฎหมาย การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทส่วนของ จ. อันเป็นทรัพย์มรดกของ จ. มาเป็นของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมกระทำได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นทายาทโดยธรรมของ จ.หรือไม่ ทั้งกรณีไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทส่วนที่เป็นมรดกของ จ. ทำให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ทายาทโดยธรรมจะฟ้องร้องว่ากล่าวกันเอง โจทก์จะอาศัยสิทธิในฐานะเจ้าของรวมในที่พิพาทมาฟ้องร้องมิได้
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีเจ้าของรวมและผู้จัดการมรดก การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกต้องอาศัยสิทธิของทายาท
ที่พิพาทเดิมเป็นของ จ. และท.เมื่อท.ถึงแก่กรรมโจทก์จดทะเบียนรับโอนเฉพาะส่วนของ ท. มาเป็นของโจทก์ ต่อมา จ. ถึงแก่กรรม ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 1 จดทะเบียนรับโอนที่พิพาทเฉพาะส่วนของจ.แล้วจดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ 2 และ 3 การจดทะเบียนโอน กรรมสิทธิ์ที่พิพาทส่วนของ จ. อันเป็นทรัพย์มรดกของ จ.มาเป็นของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมกระทำได้ตามกฎหมายไม่ว่า จำเลยที่ 1 จะเป็นทายาทโดยธรรมของ จ.หรือไม่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนการจดทะเบียนโอนต่อไปให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นเรื่องที่ทายาทโดยธรรมของ จ. จะฟ้องร้องกันเองโจทก์มิได้เป็นทายาทโดยธรรมของ จ.จะมาฟ้องโดยอาศัยสิทธิในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทย่อมไม่ได้ โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานแล้วพิพากษาใหม่ ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ดังนี้ เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เสียค่า ขึ้นศาลชั้นฎีกาตามทุนทรัพย์พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรสจากการยกให้โดยเสน่หา และสิทธิในทรัพย์สินร่วม
คดีฟ้องหย่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยด่าหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรงว่า"อีดอกทองมึงก็ดอกทองเหมือนแม่"ถือว่าได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว ทรัพย์ที่ได้รับยกให้ระหว่างเป็นสามีภริยาก่อนป.พ.พ.ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2519ใช้บังคับต้องเป็นไปตามป.พ.พ.บรรพ5เดิมเมื่อหนังสือยกให้มิได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวแก่ผู้รับยกให้ย่อมตกเป็นสินสมรสตามมาตรา1464,1466บรรพ5เดิม ซึ่งสามีภริยามีสิทธิได้รับส่วนแบ่งคนละกึ่งหนึ่งโดยถือเป็นเจ้าของรวมสามีจึงมีสิทธิอายัดบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสเพื่อมิให้ภริยาจำหน่ายจ่ายโอนแก่ผู้ใดได้ตามป.พ.พ.มาตรา1359และภริยาไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่สามีออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4134/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: ข้อจำกัดกรรมสิทธิ์รวม และผลกระทบต่อเจ้าของรวมที่ไม่ยินยอม
สัญญาซื้อขายมีข้อความว่าจำเลยทั้งสี่แบ่งขายที่พิพาทเนื้อที่3งาน45.6ตารางวาด้านทิศตะวันตกอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ให้แก่โจทก์ในราคา43,125บาทและมอบที่ดินส่วนนี้ให้โจทก์ในวันทำสัญญาโดยโจทก์ชำระราคาให้20,000บาทส่วนที่เหลือจะชำระภายใน9เดือนดังนี้เห็นได้ว่าการซื้อขายที่พิพาทได้ทำเป็นหนังสือและมีการชำระหนี้บางส่วนแล้วแต่ยังมีหนี้ที่โจทก์จำเลยจะปฏิบัติต่อกันอีกคือโจทก์ต้องชำระราคาส่วนที่เหลือและจำเลยต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ในสัญญาและจดทะเบียนโอนให้โจทก์อีกสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่เป็นโมฆะ โจทก์นำสืบว่าการชำระราคาส่วนที่เหลือจะกระทำเมื่อจำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้อันเป็นการนำสืบเงื่อนไขรายละเอียดข้อตกลงในการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือโจทก์จึงนำสืบได้ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94 จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงที่จำเลยทั้งสี่ทำสัญญาแบ่งขายให้โจทก์ร่วมกับบุคคลอื่นด้วยแต่เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินดังกล่าวมิได้บรรยายส่วนของตนไว้และมิได้แบ่งแยกว่าส่วนของใครอยู่ตอนใดแต่ละคนจึงมีส่วนเท่าๆกันกรรมสิทธิ์รวมของเจ้าของรวมแต่ละคนย่อมครอบไปเหนือที่ดินดังกล่าวทั้งหมดจนกว่าจะมีการแบ่งแยกการที่จำเลยทั้งสี่ตกลงขายที่ดินโดยระบุเจาะจงตรงส่วนด้านตะวันตกของที่ดินเป็นการขายตัวทรัพย์ซึ่งรวมถึงส่วนที่มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสี่จึงต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนก่อนมิฉะนั้นสัญญาจะซื้อขายไม่มีผลผูกพันเจ้าของรวมซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญาด้วย เมื่อเจ้าของรวมที่มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์มิได้ถูกฟ้องหรือเข้ามาเป็นคู่ความในคดีทั้งไม่ยอมขายที่ดินส่วนที่จำเลยทั้งสี่ตกลงขายให้โจทก์ด้วยหากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่ขายให้โจทก์ตามคำขอของโจทก์ผลของการบังคับคดีย่อมไม่ผูกพันเจ้าของรวมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความให้จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลศาลจึงไม่อาจบังคับจำเลยทั้งสี่ตามคำขอของโจทก์ได้ ปัญหาว่าศาลจะบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละเจตนาครอบครองและอายุความครอบครองทรัพย์สินของเจ้าของรวม
โจทก์ซึ่งเป็นทายาทพ.และห.ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงที่ปลูกตึกแถวพิพาทได้แบ่งทรัพย์สินกันเองในระหว่างเจ้าของรวมโดยโจทก์ได้ที่ดิน53ตารางวาส่วนที่เหลือซึ่งเป็นของห.โจทก์และห.ยอมให้จำเลยที่2ถึงที่9ซึ่งเป็นหลานของห.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์สำหรับตึกพิพาทนอกจากจะปลูกอยู่บนที่ดินส่วนของจำเลยที่2ถึงที่9แล้วโจทก์ให้จำเลยที่10ดำเนินการโอนตึกแถวพิพาทให้จำเลยที่2ถึงที่9โดยโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสารหมายล.1โดยสมัครใจความว่าโจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องในสิทธิและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใดจึงเป็นการสละเจตนาครอบครองตึกแถวพิพาทตั้งแต่วันทำเอกสารหมายล.1จำเลยที่2ถึงที่9โดยจำเลยที่1ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมได้ครอบครองตึกแถวพิพาทติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยการทำสัญญาเช่าและเก็บค่าเช่านับแต่วันทำเอกสารหมายล.1ถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่าสิบปีจำเลยที่2ถึงที่9จึงได้กรรมสิทธิ์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างห.กับจำเลยที่2ถึงที่9.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3135/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวมขายเฉพาะส่วนของตน ผู้ซื้อได้สิทธิเฉพาะส่วนนั้น โจทก์ผู้เป็นเจ้าของร่วมอีกส่วนหนึ่งยังคงมีสิทธิในที่ดิน
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกันจำเลยไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปขายโดยโจทก์ไม่ยินยอมจำเลยคงมีสิทธิขายได้เฉพาะส่วนของตนเท่านั้นการที่จำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องจึงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของจำเลยส่วนของโจทก์ยังคงมีอยู่ตามเดิม ผู้ร้องเข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทก่อนจำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องนั้นเป็นการเข้าครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ยถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์จำเลยส่วนหลังจากจำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องถือได้ว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายซึ่งผู้ร้องได้สิทธิเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้นที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลงย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375มาใช้บังคับไม่ได้ ผู้ร้องขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ดีเสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินพิพาทก็ดีไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมได้รู้เห็นในการกระทำดังกล่าวด้วยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อโจทก์ผู้ร้องจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้ร้องตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะฟ้องขอแบ่งจากจำเลยคำพิพากษาที่ให้จำเลยแบ่งที่ดินที่พิพาทให้โจทก์จึงไม่มีผลบังคับเอากับผู้ร้องโจทก์จึงจะยึดที่ดินพิพาทซึ่งเจ้าของรวมคือโจทก์กับผู้ร้องมาขายทอดตลาดไม่ได้เพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอแบ่งจากผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแพ่ง: ข้อห้ามฟ้องบุพการีและข้อยกเว้น, เจ้าของรวมมีอำนาจดำเนินคดี
โจทก์ที่2อยู่ในฐานะผู้สืบสันดานคือเป็นหลานจำเลยจำเลยอยู่ในฐานะเป็นยายย่อมเป็นบุพการีของโจทก์ที่2การที่โจทก์ที่2ฟ้องจำเลยจึงเป็นการฟ้องบุพการีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562โจทก์ที่2จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยสำหรับโจทก์ที่1เป็นเพียงบุตรเขยไม่ได้เป็นผู้สืบสันดานของจำเลยจำเลยไม่ได้เป็นบุพการีของโจทก์ที่1ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามทั้งหมดโจทก์ที่1ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยในที่พิพาทย่อมมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการร้องขอกันส่วนที่ดิน เจ้าของรวมมีสิทธิขอให้แบ่งขายเฉพาะส่วนก่อนได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินครึ่งหนึ่งทางทิศเหนือเป็นส่วนสัดมาตั้งแต่ได้รับการยกให้จากบิดา เมื่อโจทก์รับจำนองที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยโจทก์ก็ทราบว่ารับจำนองเฉพาะที่ดินส่วนที่อยู่ทางทิศใต้ดังนี้ โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกันเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดมิได้ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะขอให้กันที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือของผู้ร้องออกก่อนขายทอดตลาด
กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 มิใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 จึงเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์มิได้เมื่อศาลอุทธรณ์เรียกค่าขึ้นศาลมาไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ด้วย
of 28