คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งทนายความและการแก้ไขเอกสารแต่งทนายตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 27
เมื่อพฤติการณ์มีเหตุผลและทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้แต่งให้ทนายอีกคนหนึ่งเป็นทนายความของจำเลยในคดีไว้แล้วจริง แต่ปรากฎว่าใบแต่งทนายความสำหรับทนายคนนั้นไม่มีอยู่ในสำนวนเมื่อทนายจำเลยคนนั้นลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์มา ศาลก็มีอำนาจที่จะอนุญาตให้แก้ไขจัดทำเสียให้เป็นการถูกต้องได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 27 ยังไม่ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งทนายความและการแก้ไขเอกสารแต่งทนายในคดีแพ่ง ศาลมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
เมื่อพฤติการณ์มีเหตุผลและทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยได้แต่งให้ทนายอีกคนหนึ่งเป็นทนายความของจำเลยในคดีไว้แล้วจริงแต่ปรากฏว่าใบแต่งทนายความสำหรับทนายคนนั้นไม่มีอยู่ในสำนวนเมื่อทนายจำเลยคนนั้นลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์มาศาลก็มีอำนาจที่จะอนุญาตให้แก้ไขจัดทำเสียให้เป็นการถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27ยังไม่ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมและการใส่ความละเมิด: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นได้
การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้เมื่อเห็นสมควร โดยไม่ต้องระบุว่าปัญหานั้นเกี่ยวกับข้อกฎหมายใดเกิดขึ้นเป็นคุณแก่ฝ่ายใด
ฟ้องว่าจำเลยไม่พอใจโจทก์หาทางให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งโดยนำความเท็จเสนออธิการบดีให้พิจารณาโทษโจทก์หลายครั้งผลเป็นเท็จทุกครั้ง โดยมิได้กล่าวว่าจำเลยนำความเท็จเสนออธิการบดีว่ากระไร เมื่อใด เป็นเท็จอย่างใด ถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ถ้อยคำที่ไม่ถือว่าเป็นการใส่ความอันจะเป็นการละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมและการใส่ความ – ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นได้
การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้เมื่อเห็นสมควร โดยไม่ต้องระบุว่าปัญหานั้นเกี่ยวกับข้อกฎหมายใดเกิดขึ้นเป็นคุณแก่ฝ่ายใด
ฟ้องว่าจำเลยไม่พอใจโจทก์หาทางให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งโดยนำความเท็จเสนออธิการบดีให้พิจารณาโทษโจทก์หลายครั้งผลเป็นเท็จทุกครั้ง โดยมิได้กล่าวว่าจำเลยนำความเท็จเสนออธิการบดีว่ากระไร เมื่อใด เป็นเท็จอย่างใด ถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ถ้อยคำที่ไม่ถือว่าเป็นการใส่ความอันจะเป็นการละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการบังคับตามสัญญาประนีประนอม ศาลมีอำนาจวินิจฉัยแม้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้
แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่เดิม ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในคดีก่อนจนศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนั้นไปแล้ว โจทก์นำคดีเรื่องนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์รายเดียวกันคืนจากจำเลยอีก เป็นฟ้องซ้ำ
(อ้างฎีกาที่ 54/2499)
โจทก์จำเลยและนายสร่างได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมคืนทรัพย์ให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ และศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามนั้นแล้ว เมื่อนายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาเดิมนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ยังคงมีอยู่ไม่ใช่ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาข้อโต้แย้งการเลือกตั้ง และการตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ส.ส.ประเภทต่างๆ
การตีความรัฐธรรมนูญ ม.115 ศาลมีอำนาจตีความได้เพราะไม่ใช่ปัญหาอันอยู่ในวงงานของสภาฯ
คำว่า "มิได้เป็นไปโดยชอบ" ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ฯ ม.60 นั้นจะเป็นด้วยเหตุประการใด ๆ ก็ได้ เช่นมิชอบด้วยข้อเท็จจริง มิชอบด้วยข้อกฎหมายก็นับว่าอยู่ในข่ายของคำว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบทั้งสิ้น
ผู้เลือกตั้งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบ
คำว่า "ในวาระเริ่มแรกภายในระยะเวลา 10 ปีในรัฐธรรมนูญ ม.115 เมื่อพิจารณาประกอบกับ ม.45, 46, 47 แล้วมีความหมายว่าให้มี ส.ส. 2 ประเภทจำนวนเท่ากันในวาระเริ่มแรก หาใช่ว่าต้องมี 2 ประเภทเท่ากันตลอดไปภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
ส.ส.ประเภท 2 ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งขึ้นไว้แล้ว 123 คนในวันใช้บังคับรัฐธรรมนูญนั้น เป็นจำนวนตายตัวไม่มีบัญญัติให้เพิ่มหรือลดลงได้ นอกจากจะลดหรือตั้งซ่อมตาม ม.116 ในเมื่อได้ใช้บังคับรัฐธรรมนูญนี้ไปแล้ว 5 ปี ถ้ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดได้รับการศึกษาอบรมจบชั้นประถมศึกษา ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในจังหวัดนั้น ก็ให้ ส.ส. ประเภทที่ 2 ออกจากตำแหน่งมีจำนวนเท่าจำนวน ส.ส.ที่มีการเลือกตั้งในจังหวัดนั้น หรือในระหว่างที่มี ส.ส.ประเภท 2 ตามมาตรานี้ ถ้าตำแหน่ง ส.ส.ประเภท 2 ว่างลงโดยมิใช่การออกตามความดั่งกล่าวข้างต้น ก็ให้มีการตั้งซ่อมได้เท่า จำนวนตำแหน่งที่ว่าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาคัดค้านการเลือกตั้ง และการตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจำนวน ส.ส.สองประเภท
การตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา115 ศาลมีอำนาจตีความได้เพราะไม่ใช่ปัญหาอันอยู่ในวงงานของสภาฯ
คำว่า'มิได้เป็นไปโดยชอบ' ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ มาตรา 60นั้นจะเป็นด้วยเหตุประการใดๆก็ได้ เช่นมิชอบด้วยข้อเท็จจริง มิชอบด้วยข้อกฎหมายก็นับว่าอยู่ในข่ายของคำว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบทั้งสิ้น
ผู้เลือกตั้งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งหรือได้รับเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยชอบ
คำว่า'ในวาระเริ่มแรกภายในระยะเวลา 10 ปี'ในรัฐธรรมนูญ ม.115เมื่อพิจารณาประกอบกับ ม.45,46,47 แล้วมีความหมายว่าให้มี ส.ส.2 ประเภทจำนวนเท่ากันในวาระเริ่มแรกหาใช่ว่าต้องมี 2 ประเภทเท่ากันตลอดไปภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
ส.ส.ประเภท 2 ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งขึ้นไว้แล้ว 123 คนในวันใช้บังคับรัฐธรรมนูญนั้นเป็นจำนวนตายตัวไม่มีบัญญัติให้เพิ่มหรือลดลงได้ นอกจากจะลดหรือตั้งซ่อมตาม ม.116 ในเมื่อได้ใช้บังคับรัฐธรรมนูญนี้ไปแล้ว 5 ปี ถ้ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดใดได้รับการศึกษาอบรมจบชั้นประถมศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในจังหวัดนั้นก็ให้ส.ส.ประเภทที่ 2 ออกจากตำแหน่งมีจำนวนเท่าจำนวนส.ส.ที่มีการเลือกตั้งในจังหวัดนั้นหรือในระหว่างที่มีส.ส.ประเภท 2 ตามมาตรานี้ ถ้าตำแหน่งส.ส.ประเภท2 ว่างลงโดยมิใช่การออกตามความดั่งกล่าวข้างต้น ก็ให้มีการตั้งซ่อมได้เท่าจำนวนตำแหน่งที่ว่าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายฐานโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน: อำนาจศาลและหลักการพิจารณาความเกี่ยวพัน
ถ้าปรากฏความผิดหลายฐานได้กระทำลงโดยผู้กระทำผิดคนเดียวก็ย่อมฟ้องคดีทุกเรื่องต่อศาลซึ่งมีอำนาจชำระในฐานความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 24(1)นั้น
กฎหมายถือเอาบุคคลผู้กระทำผิดเป็นสำคัญ มิใช่อาศัยแต่การเกี่ยวพันเฉพาะฐานความผิดเท่านั้น
จำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ที่จังหวัดปากพนัง และถูกฟ้องยังศาลปากพนัง คดีอยู่ระหว่างพิจารณาจำเลยมากระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและลูกระเบิดมือที่จังหวัดนครศรีธรรมราชอีกดังนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีหลังต่อศาลจังหวัดปากพนังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881-1885/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้โทษจำคุกเป็นรอการลงโทษ และอำนาจศาลฎีกาในการแก้โทษจำเลยที่ไม่ฎีกา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยได้ทำผิดจริง ศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์ให้รอการลงโทษไว้ ถือว่าเป็นการแก้มากโจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยที่ 5 ได้สมคบกับจำเลยอีก 4 คนกระทำความผิดอันเป็นเหตุในลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 89 โทษที่ศาลอุทธรณ์วางแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นโทษเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด แม้จำเลยที่ 5 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้โทษจำเลยที่ 5 ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 เพราะเป็นคุณแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์แผงลอยให้เทศบาล และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยคดี
ในเรื่องแผงลอยเป็นของเทศบาลหรือไม่และโจทก์เสียหายหรือไม่นั้น ได้เป็นประเด็นในคดีซึ่งทั้งโจทก์จำเลยได้นำสืบเสร็จสำนวนมาแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยพิพากษาให้เสร็จไปได้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่.
(อ้างฎีกาที่ 144/2492)
ร้านแผงลอยเป็นสังหาริมทรัพย์
จำเลยอ้างพยานเอกสารไว้ด้วยในการประกอบข้อต่อสู้ที่ว่าโจทก์ได้ยกร้านแผงลอยซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ให้เทศบาลแล้ว แต่เมื่อจำเลยเพียงนำพยานบุคคลมาสืบก็รับฟังได้เช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องนำพยานเอกสารเช่นว่านั้นมาสืบ
of 222