พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาโรงเรียนราษฎร์: ต้องรอคำสั่งถึงที่สุดหลังอุทธรณ์
แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้มีคำสั่งตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2497 มาตรา 45ให้ถอนใบอนุญาตของจำเลยในฐานะเป็นเจ้าของโรงเรียนราษฎร์เพราะกระทำผิดต่อพระราชบัญญัตินั้นหลายประการ แต่จำเลยก็ได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่ได้รับแจ้งคำสั่งนั้นตามมาตรา 59 แล้ว ในขณะที่ยังไม่มีคำสั่งที่ถึงที่สุดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนั้น โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนดำรงกิจการดำเนินการเปิดสอนและไม่ปฏิบัติหน้าที่รวบรวมหลักฐานส่งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2497 มาตรา 43, 48, 52
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีอาญาที่เกิดในภาวะกฎอัยการศึก และการพิจารณาคดีโดยศาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 309 เหตุเกิดในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 และความผิดตามมาตรา 284 นั้น อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามความในข้อ 1 ของประกาศดังกล่าวประกอบกับบัญชีท้ายประกาศ ข้อ (6) อีกทั้งคดีนี้ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่าง แม้การกระทำผิดตามมาตรา 276 และ 309 นั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 แต่ก็อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 9 มกราคม 2515 ความผิดทุกข้อหาในคดีนี้จึงมิได้อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในคดีอาญาที่เกิดในช่วงประกาศใช้กฎอัยการศึก: การพิจารณาคดีความผิดหลายกระทง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,284,309 เหตุเกิดในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน2514 และความผิดตามมาตรา 284 นั้น อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามความในข้อ 1 ของประกาศดังกล่าวประกอบกับบัญชีท้ายประกาศ ข้อ (6) อีกทั้งคดีนี้ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่าง แม้การกระทำผิดตามมาตรา 276 และ 309 นั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 แต่ก็อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 9 มกราคม 2515 ความผิดทุกข้อหาในคดีนี้จึงมิได้อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทหาร: คดีอาญาเกี่ยวกับอาวุธของนายทหารประทวนอยู่ในอำนาจศาลทหาร
จำเลยรับราชการเป็นนายทหารประทวนประจำการ เป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 16(3) ศาลจังหวัดไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดตามเช็ค: ผู้ทรงโดยชอบมีสิทธิเรียกร้อง แม้มีคำพิพากษาให้ทำลายเช็ค หรือคดีอาญาไม่ฟัง
จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ ท. เพื่อชำระหนี้ ท. สลักหลังเช็คโอนให้โจทก์เพื่อชำระหนี้อีกต่อหนึ่ง เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบ จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้ต่อมาศาลได้พิพากษาให้ทำลายเช็คนั้นแล้วก็ดี หรือโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค แต่ศาลพิพากษายกฟ้องแล้วก็ดี ก็ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดทางแพ่งตามเช็คนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งสืบพยานที่เคยถูกตัดออกในคดีอาญา และการปรับบทกฎหมาย
ในคดีอาญา ศาลสั่งตัดผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์ไปแล้วต่อมาผู้เสียหายมาศาลโดยโจทก์ยื่นคำร้องขอสืบเป็นพยานเมื่อศาลเห็นสมควรก็ย่อมมีอำนาจสั่งให้สืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาของผู้เสียหายที่ได้รับกระทบจากคำเบิกความเท็จ ซึ่งเชื่อมโยงกับคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ป.ในข้อหาฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายว่า ป. ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วปกติและได้ลดความเร็วลงเมื่อถึงทางโค้ง พอรถแฉลบผู้ตายสะดุ้งตื่นร้องโวยวาย และคว้ามือ ป. เป็นเหตุให้รถแฉลบจากถนนพลิกคว่ำ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมอ้างว่าเป็นบุตรผู้ตาย ได้ยื่นฟ้องป. เป็นคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายเนื่องจาก ป. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มารดาผู้ร้องถึงแก่ความตาย และได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาที่ ป.เป็นจำเลยดังกล่าวเช่นนี้ ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายในคดีนี้โดยตรงและมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ เพราะผู้ร้องเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว และคำเบิกความเท็จในข้อสำคัญของจำเลยนี้ในคดีอาญาดังกล่าว ย่อมกระทบกระเทือนถึงผลของคดีแพ่งที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องป. โดยศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีอาญาเพื่อเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงไว้แล้ว ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยด้วยเรื่องเดียวกันนั้นเป็นคดีใหม่ ผู้เสียหายจึงถอนฟ้องคดีที่ผู้เสียหายได้ฟ้องไว้แล้วขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องเห็นได้ว่าการที่ผู้เสียหายถอนฟ้องดังกล่าวก็เพื่อจะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยนั่นเอง มิใช่เป็นการถอนฟ้องเด็ดขาดตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 36 พนักงานอัยการจึงยังมีอำนาจฟ้องจำเลยและสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของผู้เสียหายจึงไม่ระงับไป จึงมีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
จำเลยเอาเงินของผู้เสียหายไป อ้างว่าเพื่อนำไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจและจะให้ผลประโยชน์แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องที่จำเลยยืมเงินไปโดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินนั้นเพื่อกิจการของจำเลยเองในโอกาสข้างหน้า มิได้เอาความเท็จมากล่าวหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งมีอยู่แล้วในขณะนั้น แม้จำเลยไม่เอาเงินนั้นไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจ ก็เป็นเรื่องผิดคำมั่นสัญญาเท่านั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยเอาเงินของผู้เสียหายไป อ้างว่าเพื่อนำไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจและจะให้ผลประโยชน์แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องที่จำเลยยืมเงินไปโดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินนั้นเพื่อกิจการของจำเลยเองในโอกาสข้างหน้า มิได้เอาความเท็จมากล่าวหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งมีอยู่แล้วในขณะนั้น แม้จำเลยไม่เอาเงินนั้นไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจ ก็เป็นเรื่องผิดคำมั่นสัญญาเท่านั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งให้คืนทรัพย์ในคดีอาญา สิ้นสุดเมื่อไม่มีความผิดฐานยักยอก ผู้เสียหายต้องฟ้องทางแพ่ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ประกอบกับมาตรา 44 วรรค 2 อำนาจของพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สิน หรือราคาแทนผู้เสียหายในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ย่อมเป็นส่วนหนึ่งแห่งคดีอาญา และอำนาจการพิพากษาในส่วนเรียกทรัพย์สินหรือราคา ก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งคดีอาญา เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอกดังที่โจทก์ฟ้อง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43 ย่อมสิ้นไป ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะพิพากษาให้คืน หรือใช้ราคาทรัพย์ได้
(ถูก 1039/2516 ประชุมใหญ่ ทับเสียแล้ว)
(ถูก 1039/2516 ประชุมใหญ่ ทับเสียแล้ว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการปรับบทลงโทษและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องผู้เสียหายในคดีอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 13 ศาลปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 13 ได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถูกจำเลย 3 คนในอีกคดีหนึ่งทำร้ายร่างกาย แล้วโจทก์ได้แจ้งความต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านให้จับกุมจำเลย 3 คนนั้น จำเลยไม่จับกลับรายงานเท็จว่าโจทก์กับจำเลย 3 คนนั้นทะเลาะวิวาทกัน แม้ในคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้น โจทก์ถูกฟ้องว่าสมัครใจวิวาทกับจำเลย 3 คนนั้น โจทก์รับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วหลังจากพิพากษาคดีนี้ แต่เมื่อคดีนี้ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าโจทก์ถูกทำร้ายฝ่ายเดียวโจทก์เป็นผู้เสียหาย จำเลยจะฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์สมัครใจวิวาทกับอีกฝ่ายหนึ่งหาได้ไม่ เพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถูกจำเลย 3 คนในอีกคดีหนึ่งทำร้ายร่างกาย แล้วโจทก์ได้แจ้งความต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านให้จับกุมจำเลย 3 คนนั้น จำเลยไม่จับกลับรายงานเท็จว่าโจทก์กับจำเลย 3 คนนั้นทะเลาะวิวาทกัน แม้ในคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้น โจทก์ถูกฟ้องว่าสมัครใจวิวาทกับจำเลย 3 คนนั้น โจทก์รับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วหลังจากพิพากษาคดีนี้ แต่เมื่อคดีนี้ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าโจทก์ถูกทำร้ายฝ่ายเดียวโจทก์เป็นผู้เสียหาย จำเลยจะฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์สมัครใจวิวาทกับอีกฝ่ายหนึ่งหาได้ไม่ เพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218