พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิคัดค้านคำพิพากษาชั้นต้นด้วยการอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ ย่อมไม่สามารถฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดได้อีก
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด แต่กลับอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลดโทษแก่จำเลยให้น้อยลง ปัญหาที่ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน จำเลยจะกลับมาฎีกาว่าจำเลยมิได้กระทำผิดอีกหาได้ไม่ ตามใบแต่งทนายความ จำเลยมอบอำนาจให้ทนายความของจำเลยยื่นอุทธรณ์และฎีกาได้ ทนายความของจำเลยย่อมมีสิทธิทำอุทธรณ์ยื่นแทนจำเลยได้ตามกฎหมาย หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์นั้น ก็ชอบที่จะยื่นเองได้ตามความประสงค์ภายในอายุอุทธรณ์ เมื่อจำเลยละเลยสิทธิของตนดังกล่าว จะมาปฏิเสธไม่ยอมรับรู้การกระทำของทนายความหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลาง: เมื่อจำเลยยกฟ้อง การฎีกาเรื่องความเกี่ยวข้องกับความผิดของผู้อื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 และให้ริบรถยนต์ของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ริบรถยนต์ของกลางส่วนการยกฟ้องจำเลยที่ 4 คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางคดีนี้มีส่วนรู้เห็นในการใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดของจำเลยอื่น ขอให้ริบของกลางนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางเมื่อจำเลยที่ 4 พ้นผิด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 และให้ริบรถยนต์ของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ริบรถยนต์ของกลางส่วนการยกฟ้องจำเลยที่ 4 คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางคดีนี้มีส่วนรู้เห็นในการใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดของจำเลยอื่น ขอให้ริบของกลางนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขความผิดจากวรรคสองเป็นวรรคแรกของมาตรา 276 ถือเป็นการแก้ไขมาก ฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 แล้วจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 2 ปีดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 แล้วจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 2 ปีดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากไม่ต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียวกัน – กัญชา, การรอการลงโทษ – ดุลพินิจศาล, ฎีกาต้องห้าม
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าฟ้องโจทก์เฉพาะ กระทงความผิดฐานผลิตกัญชาหรือปลูกต้นกัญชาและกระทงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่ปลูกไว้ดังกล่าวนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องอ้างว่าการกระทำผิดสองฐานนี้เป็นความผิดต่างกระทงต่างกรรมกันจำเลยให้การรับสารภาพและศาลล่างลงโทษมาเป็นสองกรรมก็ตาม แต่ความผิดทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้และเมื่อได้ยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิฉัยแล้ว แม้จำเลยจะฎีกาขึ้นมาเพียงขอให้รอการลงโทษ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้าม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงรวมข้อดุลพินิจในการกำหนดโทษต่อไปได้ด้วย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2152/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลายื่นฎีกา: การยื่นฎีกาเกินกำหนด แม้ศาลชั้นต้นรับไว้ ก็ไม่เป็นผล
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2526 ครบกำหนดยื่นฎีกาภายใน 1 เดือนในวันที่ 2 มีนาคม 2526 ซึ่งมิใช่วันหยุดราชการ แต่จำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 4 มีนาคม 2526 จึงเกินกำหนดหนึ่งเดือนแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลย ไว้ก็ตามศาลฎีกาก็รับฎีกาของจำเลยซึ่งยื่นมาเกินกำหนดที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216ได้บัญญัติไว้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2097/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาฎีกา: การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเป็นหลัก
ศาลจังหวัดนนทบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ตัวจำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ฎีกาฟังโดยชอบแล้วตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2526 แม้ต่อมาศาลจังหวัดพิษณุโลกจะได้อ่านคำพิพากษาให้ทนายจำเลยฟังอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 ก็ต้องถือตั้งแต่วันอ่านโดยชอบในครั้งแรก การที่ทนายจำเลยยื่นฎีกาวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 ซึ่งเป็นระยะเวลาเกินหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ตัวจำเลยฟัง จึงล่วงเลยระยะเวลาที่จำเลยมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1899/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง: นายสมนึกเป็นลูกจ้าง/ตัวแทนของจำเลยหรือไม่
การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า ส. ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยนั้น ก็โดยใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบ แล้วฟังข้อเท็จจริงไปตามนั้น เหตุที่นำคำเบิกความของร้อยตำรวจโทก.และนายช.พยานโจทก์ทั้งสองมาเป็นข้อวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104. กรณีเช่นนี้จึงมิใช่วินิจฉัยตรงข้ามกับพยานหลักฐานในสำนวนอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายดังที่โจทก์ฎีกาแต่ประการใดฉะนั้นข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ส. เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนที่ปฏิบัติงานไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลย จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1884/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อค่าเสียหายแต่ละรายไม่เกินห้าหมื่นบาท
โจทก์ทั้งสี่ต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดและการรับประกันภัยค้ำจุนซึ่งทำให้โจทก์แต่ละคนเสียหายแม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน ปรากฏว่าค่าเสียหายที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยที่ 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248