พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีปล้นทรัพย์และการลงโทษฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามคนร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้มีดและปืนขู่ผู้เสียหายและจำเลยที่ 1 มีปืนพกไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองหนึ่งกระบอกโดยไม่รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่โจทก์ฟ้อง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 อันเป็นกระทงหนักที่สุด จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนนั้นโจทก์ไม่นำสืบให้ชัด ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานนี้ไม่ได้พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เฉพาะข้อหานี้เสีย โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่ายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้ปืนจี้ผู้เสียหาย และเห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นแปลได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดฐานนี้ด้วย เป็นการพิพากษาเกินคำขอและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไว้ คำพิพากษาของศาลล่างยังคลาดเคลื่อนอยู่ ดังนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2053-2069/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาหลายสำนวน การให้นับโทษต่อกัน และขอบเขตการฎีกา
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาคดี 17 สำนวน ซึ่ง ว. จำเลยถูกฟ้องทุกสำนวน บางสำนวนมีจำเลยอื่นร่วมด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยตัดบทมาตราที่ศาลชั้นต้นปรับบทไว้เกินฟ้องออกบ้าง ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษตามบทหนักที่สุดก็แก้เป็นว่าให้ลงโทษตามกระทงที่หนักที่สุดหรือตามบทและกระทงที่หนักที่สุดด้วย แล้วแต่กรณีบางสำนวนยังคงลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี 8 เดือน ตามเดิมบ้าง ตัดมาตราที่เกินฟ้องออกแล้วแก้โทษให้เบาลงจาก 3 ปี 8 เดือน เป็น 1 ปี 4 เดือนบ้าง เป็น2 ปีบ้าง และที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งให้นับโทษติดต่อกัน ก็ให้นับโทษจำเลยทั้ง 17 สำนวนติดต่อกันด้วย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกของจำเลยแต่ละคนแต่ละสำนวนไม่เกิน 5 ปี คู่ความฎีกาได้แต่ในปัญหาข้อกฎหมาย
สำหรับ ว. นั้น แม้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้นับโทษทั้ง 17 สำนวนติดต่อกันแล้วรวมเป็นโทษจำคุกถึง 20 ปี ก็เป็นเรื่องของการบังคับคดี เพียงแต่แก้เป็นให้นับโทษของแต่ละสำนวนต่อกับโทษในสำนวนอื่นนั้น จะถือว่าเป็นการแก้ไขมากหาได้ไม่
สำหรับ ว. นั้น แม้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้นับโทษทั้ง 17 สำนวนติดต่อกันแล้วรวมเป็นโทษจำคุกถึง 20 ปี ก็เป็นเรื่องของการบังคับคดี เพียงแต่แก้เป็นให้นับโทษของแต่ละสำนวนต่อกับโทษในสำนวนอื่นนั้น จะถือว่าเป็นการแก้ไขมากหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2053-2069/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และการนับโทษจำเลยในคดีอาญาหลายสำนวน
ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาคดี 17 สำนวน ซึ่ง ว. จำเลยถูกฟ้องทุกสำนวน บางสำนวนมีจำเลยอื่นร่วมด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยตัดบทมาตราที่ศาลชั้นต้นปรับบทไว้เกินฟ้องออกบ้าง ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษตามบทหนักที่สุดก็แก้เป็นว่าให้ลงโทษตามกระทงที่หนักที่สุดหรือตามบทและกระทงที่หนักที่สุดด้วย แล้วแต่กรณีบางสำนวนยังคงลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี 8 เดือนตามเดิมบ้าง ตัดมาตราที่เกินฟ้องออกแล้วแก้โทษให้เบาลงจาก 3 ปี 8 เดือน เป็น 1 ปี 4 เดือนบ้าง เป็น2 ปีบ้าง และที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งให้นับโทษติดต่อกันก็ให้นับโทษจำเลยทั้ง 17 สำนวนติดต่อกันด้วย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกของจำเลยแต่ละคนแต่ละสำนวนไม่เกิน 5 ปี คู่ความฎีกาได้แต่ในปัญหาข้อกฎหมาย
สำหรับ ว. นั้น แม้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้นับโทษทั้ง 17 สำนวนติดต่อกันแล้วรวมเป็นโทษจำคุกถึง 20 ปี ก็เป็นเรื่องของการบังคับคดี เพียงแต่แก้เป็นให้นับโทษของแต่ละสำนวนต่อกับโทษในสำนวนอื่นนั้น จะถือว่าเป็นการแก้ไขมากหาได้ไม่
สำหรับ ว. นั้น แม้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้นับโทษทั้ง 17 สำนวนติดต่อกันแล้วรวมเป็นโทษจำคุกถึง 20 ปี ก็เป็นเรื่องของการบังคับคดี เพียงแต่แก้เป็นให้นับโทษของแต่ละสำนวนต่อกับโทษในสำนวนอื่นนั้น จะถือว่าเป็นการแก้ไขมากหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในคดีอาญาที่อัตราโทษสูงกว่าสิบปี: การสอบถามเรื่องทนาย และผลของการดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะตัวจำเลย
ในคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป มีจำเลยบางคนรับสารภาพ บางคนปฏิเสธ จำเลยที่รับสารภาพนั้นศาลชั้นต้นมิได้สอบถามเรื่องทนาย และมิได้มีทนายตลอดการพิจารณาของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ปฏิเสธได้แต่งตั้งทนายเข้าซักค้านพยานโจทก์ตลอดจนสืบพยานของตนมาแต่ต้นต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่รับสารภาพ ศาลยังไม่ได้สอบถามว่าจะมีทนายหรือไม่ คำพิพากษายังไม่ชอบ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นได้ขอแรงทนายให้จำเลยที่รับสารภาพ ในวันนัดพร้อม โจทก์และจำเลยที่รับสารภาพและที่ปฏิเสธแถลงว่า ไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอและทนายจำเลยที่รับสารภาพ ก็ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือสืบพยานจำเลยอีก ศาลชั้นต้นถือว่าได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสร็จแล้วและพิจารณาคดีไปทีเดียว ดังนี้การให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่มุ่งเฉพาะตัวจำเลยที่รับสารภาพเท่านั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ปฏิเสธทั้งสองคราวจึงครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาที่มีจำเลยทั้งรับสารภาพและปฏิเสธ: กระบวนการถูกต้องตามกฎหมายสำหรับจำเลยที่ปฏิเสธ
ในคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป มีจำเลยบางคนรับสารภาพ บางคนปฏิเสธ จำเลยที่รับสารภาพนั้นศาลชั้นต้นมิได้สอบถามเรื่องทนาย และมิได้มีทนายตลอดการพิจารณาของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ปฏิเสธได้แต่งตั้งทนายเข้าซักค้านพยานโจทก์ตลอดจนสืบพยานของตนมาแต่ต้นต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่รับสารภาพ ศาลยังไม่ได้สอบถามว่าจะมีทนายหรือไม่ คำพิพากษายังไม่ชอบ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาใหม่ศาลชั้นต้นได้ขอแรงทนายให้จำเลยที่รับสารภาพ ในวันนัดพร้อม โจทก์และจำเลยที่รับสารภาพและที่ปฏิเสธแถลงว่า ไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอและทนายจำเลยที่รับสารภาพ ก็ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือสืบพยานจำเลยอีก ศาลชั้นต้นถือว่าได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสร็จแล้วและพิจารณาคดีไปทีเดียว ดังนี้ การให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่มุ่งเฉพาะตัวจำเลยที่รับสารภาพเท่านั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ปฏิเสธทั้งสองคราวจึงครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดในมูลคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าวปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดแล้วในมูลคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่า ในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยฎีกาในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง: ศาลฎีกาจะไม่วินิจฉัยเกินประเด็นที่ฎีกาขอ หากโจทก์พอใจในโทษ
คดีอาญาซึ่งโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้น ประเด็นโดยตรงแห่งคดีมีแต่เพียงว่าจำเลยกระทำผิดโดยประมาทหรือไม่ การที่ศาลล่างกล่าวหาผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยนั้น เป็นเพียงเพื่อจะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยเท่านั้น และข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งศาลที่จะพิจารณาคดีส่วนแพ่งจะต้องถือตามนั้นก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีอาญาโดยตรงเท่านั้น เมื่อโจทก์ฎีกาเพียงข้อเดียวว่าคดีควรฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว ผู้ตายมิได้ประมาทด้วย ส่วนข้ออื่น ๆรวมทั้งโทษที่ศาลอุทธรณ์วางไว้โจทก์พอใจแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีนี้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยฎีกาในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์ไม่ขอให้เปลี่ยนแปลงโทษ
คดีอาญาซึ่งโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้น ประเด็นโดยตรงแห่งคดีมีแต่เพียงว่า จำเลยกระทำผิดโดยประมาทหรือไม่ การที่ศาลล่างกล่าวหาผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยนั้นเป็นเพียงเพื่อจะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยเท่านั้น และข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งศาลที่จะพิจารณาคดีส่วนแพ่งจะต้องถือตามนั้นก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีอาญาโดยตรงเท่านั้น เมื่อโจทก์ฎีกาเพียงข้อเดียวว่าคดีควรฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว ผู้ตายมิได้ประมาทด้วย ส่วนข้ออื่น ๆรวมทั้งโทษที่ศาลอุทธรณ์วางไว้โจทก์พอใจแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีนี้แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาจากเอกสารที่ถูกปกปิด: โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายโดยตรง
ศาลหมายเรียกเอกสารไปยังจำเลยให้ส่งมาศาลตามคำขอของโจทก์ (ราษฎร) เมื่อจำเลยไม่ส่งเอกสารมาให้โดยอ้างว่าเอกสารนั้นไม่มี ทั้งที่เอกสารนั้นมีอยู่ก็เป็นความผิดที่กระทำต่อศาลซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรม โจทก์หาใช่ผู้เสียหายโดยตรงในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 170 ไม่ และการกระทำของจำเลยไม่เข้าลักษณะเป็นความผิด ตามมาตรา 187, 188