พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,266 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยการเช่าเพื่อการค้าหรือไม่ พิจารณาตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงตัวอักษรในสัญญาเช่า
การวินิจฉัยการเช่าว่า เพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อค้านั้น
ศาลพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะตัวอักษรในสัญญาเช่าเท่านั้น เช่าอาคารในย่านตลาด และทำการค้าไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
ศาลพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะตัวอักษรในสัญญาเช่าเท่านั้น เช่าอาคารในย่านตลาด และทำการค้าไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าเพื่อการค้าที่ถูกอ้างว่าเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อเลี่ยง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ศาลต้องพิจารณาสภาพที่แท้จริง
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดาโดยหลักกฎหมายธรรมดา ศาลต้องวินิจฉัยข้อความตามที่ปรากฎในสัญญาเช่า แต่เมื่อการเช่านั้นจำเลยอ้างว่าเช่าอยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษคุ้มครองการเช่าเคหะเพื่ออยู่อาศัย ศาลจึงไม่ต้องแปลข้อความในเอกสารการเช่าเพราะกฎหมายไม่ประสงค์ที่จะให้เลี่ยง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ ศาลต้องวินิจฉัยตามสภาพที่เป็นจริงแห่งการเช่าว่าเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าหรือไม่เท่านั้น
เมื่อโจทก์รับว่าจำเลยอยู่อาศัยดังนี้ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้แล้ว ไม่ต้องสืบพยานต่อไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยสืบพยานต่อไปได้ คำสั่งเช่นนี้จะเป็นการขัดต่อ ป.วิ. แพ่งมาตรา 87 - 88 หรือไม่นั้น ก็ไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรต้องวินิจฉัยตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 242 (1) และ 147 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.แพ่ง (ฉบับที่ 5) มาตรา 22 และ 24
การที่ผู้ให้เช่าพิมพ์ข้อความกล่าวอ้างความยินยอมของผู้เช่าที่จะออกจากห้องเช่าของโจทก์ไว้ล่วงหน้าในสัญญาเช่า เป็นการผูกมัดผู้เช่าเพื่อเลี่ยง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ จึงไม่ใช่ความยินยอมของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ 2489 ม.16 (5)
เมื่อจำเลยดำเนินคดีเองจึงไม่มีค่าทนายที่โจทก์ควรจะต้องใช้แทนจำเลย.
เมื่อโจทก์รับว่าจำเลยอยู่อาศัยดังนี้ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้แล้ว ไม่ต้องสืบพยานต่อไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยสืบพยานต่อไปได้ คำสั่งเช่นนี้จะเป็นการขัดต่อ ป.วิ. แพ่งมาตรา 87 - 88 หรือไม่นั้น ก็ไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรต้องวินิจฉัยตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 242 (1) และ 147 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.แพ่ง (ฉบับที่ 5) มาตรา 22 และ 24
การที่ผู้ให้เช่าพิมพ์ข้อความกล่าวอ้างความยินยอมของผู้เช่าที่จะออกจากห้องเช่าของโจทก์ไว้ล่วงหน้าในสัญญาเช่า เป็นการผูกมัดผู้เช่าเพื่อเลี่ยง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ จึงไม่ใช่ความยินยอมของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ 2489 ม.16 (5)
เมื่อจำเลยดำเนินคดีเองจึงไม่มีค่าทนายที่โจทก์ควรจะต้องใช้แทนจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเพื่ออยู่อาศัย พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ และผลของการระบุเงื่อนไขในสัญญาเช่าเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดาโดยหลักกฎหมายธรรมดาศาลต้องวินิจฉัยข้อความตามที่ปรากฏในสัญญาเช่าแต่เมื่อการเช่านั้นจำเลยอ้างว่าเช่าอยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษคุ้มครองการเช่าเคหะเพื่ออยู่อาศัยศาลจึงไม่ต้องแปลข้อความในเอกสารการเช่าเพราะกฎหมายไม่ประสงค์ที่จะให้เลี่ยงพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ ศาลต้องวินิจฉัยตามสภาพที่เป็นจริงแห่งการเช่าว่าเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯหรือไม่เท่านั้น
เมื่อโจทก์รับว่าจำเลยอยู่อาศัยดังนี้ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้แล้ว ไม่ต้องสืบพยานต่อไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยสืบพยานต่อไปได้คำสั่งเช่นนี้จะเป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87-88 หรือไม่นั้น ก็ไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) และ 147 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) มาตรา 22 และ 24
การที่ผู้ให้เช่าพิมพ์ข้อความกล่าวอ้างความยินยอมของผู้เช่าที่จะออกจากห้องเช่าของโจทก์ไว้ล่วงหน้าในสัญญาเช่า เป็นการผูกมัดผู้เช่าเพื่อเลี่ยง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯจึงไม่ใช่ความยินยอมของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ 2489 มาตรา16(5)
เมื่อจำเลยดำเนินคดีเองจึงไม่มีค่าทนายที่โจทก์ควรจะต้องใช้แทนจำเลย
เมื่อโจทก์รับว่าจำเลยอยู่อาศัยดังนี้ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้แล้ว ไม่ต้องสืบพยานต่อไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยสืบพยานต่อไปได้คำสั่งเช่นนี้จะเป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87-88 หรือไม่นั้น ก็ไม่ทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) และ 147 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) มาตรา 22 และ 24
การที่ผู้ให้เช่าพิมพ์ข้อความกล่าวอ้างความยินยอมของผู้เช่าที่จะออกจากห้องเช่าของโจทก์ไว้ล่วงหน้าในสัญญาเช่า เป็นการผูกมัดผู้เช่าเพื่อเลี่ยง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯจึงไม่ใช่ความยินยอมของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ 2489 มาตรา16(5)
เมื่อจำเลยดำเนินคดีเองจึงไม่มีค่าทนายที่โจทก์ควรจะต้องใช้แทนจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่า: การแจ้งล่วงหน้าก่อนหรือหลังครบกำหนดสัญญา
สัญญาเช่าที่มีข้อความว่า "เมื่อสัญญานี้ได้มีอายุอยู่จนครบกำหนด....ต่อแต่นั้นไปฝ่ายใดจะเลิกสัญญาต้องบอกกล่าวล่วงหน้า..1 เดือนนั้น การบอกเลิกสัญญานี้จะบอกล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดอายุสัญญาก็ได้ ไม่จำต้องบอกเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ยังไม่ผูกพัน & การเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม
การที่เจ้าอาวาสลงชื่อในสัญญาเช่าหมาย ล.5 โดยเจตนาจะถือเป็นเพียงแต่ร่างสัญญาโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัดก่อนอีกทีหนึ่ง ไม่มีความประสงค์จะให้เป็นสัญญาอันแท้จริง สัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์จำเลยอย่างใด ที่จำเลยอ้างว่าเข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่าตามสัญญาหมาย ล.5 จึงฟังไม่ได้ เป็นแต่เพียงอาศัยเท่านั้น เมื่อเป็นการอาศัยจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนการเช่าและภาระจำยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312
การที่โจทก์ฟ้องจำเลย ๆ ฟ้องแย้งโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งนั้น เป็นคดีเดียวกันทั้งนั้น ทนายโจทก์ที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้วมีสิทธิทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยได้ ไม่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งทนายใหม่อีก.
การที่โจทก์ฟ้องจำเลย ๆ ฟ้องแย้งโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งนั้น เป็นคดีเดียวกันทั้งนั้น ทนายโจทก์ที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้วมีสิทธิทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยได้ ไม่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งทนายใหม่อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่มิได้มีเจตนาผูกพัน และการเข้าอยู่อาศัยโดยอาศัยสิทธิ ย่อมไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม
การที่เจ้าอาวาสลงชื่อในสัญญาเช่าหมาย ล.5 โดยเจตนาจะถือเป็นแต่เพียงร่างสัญญาโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัดก่อนอีกทีหนึ่ง ไม่มีความประสงค์จะให้เป็นสัญญาอันแท้จริง สัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์จำเลยอย่างใด ที่จำเลยอ้างว่าเข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่าตามสัญญาหมาย ล.5จึงฟังไม่ได้ เป็นแต่เพียงอาศัยเท่านั้น เมื่อเป็นการอาศัยจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนการเช่าและภาระจำยอมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312
การที่โจทก์ฟ้องจำเลย จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งนั้นเป็นคดีเดียวกันทั้งนั้น ทนายโจทก์ที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้วมีสิทธิทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยได้ ไม่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งทนายใหม่อีก
การที่โจทก์ฟ้องจำเลย จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งนั้นเป็นคดีเดียวกันทั้งนั้น ทนายโจทก์ที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้วมีสิทธิทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยได้ ไม่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งทนายใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายฟ้องแทน และสิทธิเช่าที่ดินเมื่อสัญญาเช่าร่วมถูกบอกเลิกเฉพาะคู่สัญญาบางส่วน
ทนายโจทก์ลงนามฟ้องความแทนโจทก์โดยอาศัยใบแต่งทนายซึ่งโจทก์ทำให้เพียงใบเดียว แม้ไม่มีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องความ ก็ย่อมใช้ได้
การเช่าที่ราชพัสดุรายพิพาท โจทก์จำเลยที่ 1 และ นางชอุ่ม ได้ทำสัญญาเช่าร่วมกัน รับผิดต่อกระทรวงการคลัง แต่ทำสัญญาแยกกันคนละฉบับ ต่อมา จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวทำสัญญา โดยเอาที่นี้ไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงปลูกโรงภาพยนต์ กระทรวงการคลังจึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างกระทรวงการคลัง กับ โจทก์และ นางชอุ่ม ซึ่งมิได้ถูกบอกเลิกนั้น ยังคงใช้ได้อยู่.
การเช่าที่ราชพัสดุรายพิพาท โจทก์จำเลยที่ 1 และ นางชอุ่ม ได้ทำสัญญาเช่าร่วมกัน รับผิดต่อกระทรวงการคลัง แต่ทำสัญญาแยกกันคนละฉบับ ต่อมา จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวทำสัญญา โดยเอาที่นี้ไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงปลูกโรงภาพยนต์ กระทรวงการคลังจึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างกระทรวงการคลัง กับ โจทก์และ นางชอุ่ม ซึ่งมิได้ถูกบอกเลิกนั้น ยังคงใช้ได้อยู่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายฟ้องแทน และผลการบอกเลิกสัญญาเช่าต่อสิทธิของผู้อื่น
ทนายโจทก์ลงนามฟ้องความแทนโจทก์โดยอาศัยใบแต่งทนายซึ่งโจทก์ทำให้เพียงใบเดียว แม้ไม่มีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องความ ก็ย่อมใช้ได้
การเช่าที่ราชพัสดุรายพิพาท โจทก์จำเลยที่ 1 และนางชอุ่มได้ทำสัญญาเช่าร่วมกันรับผิดต่อกระทรวงการคลังแต่ทำสัญญาแยกกันคนละฉบับ ต่อมาจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวทำสัญญาโดยเอาที่นี้ไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงปลูกโรงภาพยนต์ กระทรวงการคลังจึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เช่นนี้ สัญญาเช่าระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์และนางชอุ่มซึ่งมิได้ถูกบอกเลิกนั้น ยังคงใช้ได้อยู่
การเช่าที่ราชพัสดุรายพิพาท โจทก์จำเลยที่ 1 และนางชอุ่มได้ทำสัญญาเช่าร่วมกันรับผิดต่อกระทรวงการคลังแต่ทำสัญญาแยกกันคนละฉบับ ต่อมาจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวทำสัญญาโดยเอาที่นี้ไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงปลูกโรงภาพยนต์ กระทรวงการคลังจึงได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เช่นนี้ สัญญาเช่าระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์และนางชอุ่มซึ่งมิได้ถูกบอกเลิกนั้น ยังคงใช้ได้อยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วงและการบอกกล่าว ผู้ให้เช่าต้องพิสูจน์ว่าข้อตกลงการบอกกล่าวเป็นสาระสำคัญของสัญญา
เมื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่าเรือนและบริเวณตกลงกันไว้ในสัญญาเช่าว่า ผู้ให้เช่าอนุญาตให้ผู้เช่าทำการเช่าช่วงได้ แต่เมื่อผู้เช่าให้ผู้ใดเช่าช่วงแล้วต้องบอกกล่าวให้ผู้ให้เช่าทราบทุกคราวไปที่มีการเช่าช่วง เช่นนี้แม้เมื่อผู้เช่าให้เช่าช่วงไปแล้วจะมิได้บอกกล่าวให้ผู้ให้เช่าทราบ ก็ยังถือว่าผู้เช่าไม่ผิดสัญญา เพราะการที่ไม่บอกนั้นไม่เป็นสาระสำคัญถึงกับจะทำให้สัญญาเช่าเสียไปอย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วงและการไม่แจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบ ไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้ขับไล่ได้ หากไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน
เมื่อผู้เช่าและผู้ให้เช่าเรือนและบริเวณตกลงกันไว้ในสัญญาเช่าว่า ผู้ให้เช่าอนุญาตให้ผู้เช่าทำการเช่าช่วงได้แต่เมื่อผู้เช่าให้ผู้ใดเช่าช่วงแล้วต้องบอกกล่าวให้ผู้ให้เช่าทราบทุกคราวไปที่มีการเช่าช่วง เช่นนี้แม้เมื่อผู้เช่าให้เช่าช่วงไปแล้วจะมิได้บอกกล่าวให้ผู้ให้เช่าทราบก็ยังถือว่าผู้เช่าไม่ผิดสัญญา เพราะการที่ไม่บอกนั้นไม่เป็นสาระสำคัญถึงกับจะทำให้สัญญาเช่าเสียไปอย่างใด