พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด และความรับผิดร่วมของเจ้าหน้าที่ตรวจรับงานบกพร่อง
โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้สร้างเขื่อนไม้อัดดินป้องกันน้ำท่วม ปรากฏว่าการก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวบกพร่อง โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดคณะกรรมการชุดนี้ได้รายงานให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2517 ต้องถือว่าโจทก์รู้ตัวผู้ละเมิดและรู้ตัวผู้พึงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2518 จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของ กทม. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการควบคุมงานและกรรมการตรวจการจ้าง จำเลยตรวจรับงานทั้งๆ ที่งานบกพร่องเป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อว่าการก่อสร้างได้เป็นไปตามแบบโดยถูกต้องจึงได้จ่ายเงินให้ผู้รับจ้างไปเต็มจำนวนตามสัญญาจ้าง ถ้าหากว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบความบกพร่องในการก่อสร้างดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้นจำเลยต้องรับผิดร่วมกับผู้รับจ้างจะอ้างว่าการที่ได้ตรวจรับมอบงานนั้นก็เพราะเชื่อผู้ควบคุมงานก่อสร้างไม่ได้
จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของ กทม. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการควบคุมงานและกรรมการตรวจการจ้าง จำเลยตรวจรับงานทั้งๆ ที่งานบกพร่องเป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อว่าการก่อสร้างได้เป็นไปตามแบบโดยถูกต้องจึงได้จ่ายเงินให้ผู้รับจ้างไปเต็มจำนวนตามสัญญาจ้าง ถ้าหากว่าจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบความบกพร่องในการก่อสร้างดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้นจำเลยต้องรับผิดร่วมกับผู้รับจ้างจะอ้างว่าการที่ได้ตรวจรับมอบงานนั้นก็เพราะเชื่อผู้ควบคุมงานก่อสร้างไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไล่ออกจากราชการ: อำนาจหน้าที่, กระบวนการอุทธรณ์, และการฟ้องละเมิด
โจทก์มีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและจำเลยที่ 1 ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน แล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะรัฐมนตรีมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากราชการตามมติของ อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทย เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1และที่ 3 กระทำการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หากโจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยที่ไล่โจทก์ออกจากราชการไม่ถูกต้องก็อุทธรณ์ได้และโจทก์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อนายกรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497 มาตรา 104 แล้วคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 105 ของกฎหมายดังกล่าวเว้นแต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายและการฟังข้อเท็จจริงหรือการใช้ดุลพินิจนั้นไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนเพียงพอหรือมิได้เป็นไปโดยสุจริตแต่โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าคำสั่งของนายกรัฐมนตรีไม่ถูกต้องตามกฎหมายและมิได้บรรยายว่าคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยที่ 1 หรือนายกรัฐมนตรีฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่มีพยานหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุนเพียงพอหรือโดยไม่สุจริตโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอนคำสั่งที่ไล่โจทก์ออกจากราชการ
ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้รับฟ้องฐานละเมิดซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เชื่อข้อเท็จจริงจากสำนวนสอบสวนของคณะกรรมการแล้วนำเข้าประชุม อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทยโดยไม่ให้โอกาสแก่ อ.ก.พ. แต่ละคนพิจารณาสอบสวนให้ละเอียดรอบคอบจำเลยที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์หลงเชื่ออ.ก.พ.กระทรวงฯ และไม่สอบสวนหรือเรียกพยานหลักฐานจากโจทก์มาประกอบการพิจารณาและจำเลยที่ 3ในฐานะประธานอ.ก.พ.กระทรวงฯ ในขณะนั้นใช้อำนาจมิชอบฉวยโอกาสจากความเกรงกลัวของผู้ใต้บังคับบัญชารวบรัดให้ที่ประชุมอ.ก.พ.มีมติให้ไล่โจทก์ออกจากราชการมีเจตนาไม่สุจริตไม่ให้ความเป็นธรรมเพียงพอโดยพิจารณาอุทธรณ์ในทางที่จะยืนยันคำสั่งซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงชื่อในขณะออกคำสั่งทำให้จำเลยที่ 2 เห็นชอบกับคำสั่งของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายหรือมิชอบด้วยกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิหรือจำเลยทั้งสามทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ดังที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้รับฟ้องฐานละเมิดซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เชื่อข้อเท็จจริงจากสำนวนสอบสวนของคณะกรรมการแล้วนำเข้าประชุม อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทยโดยไม่ให้โอกาสแก่ อ.ก.พ. แต่ละคนพิจารณาสอบสวนให้ละเอียดรอบคอบจำเลยที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์หลงเชื่ออ.ก.พ.กระทรวงฯ และไม่สอบสวนหรือเรียกพยานหลักฐานจากโจทก์มาประกอบการพิจารณาและจำเลยที่ 3ในฐานะประธานอ.ก.พ.กระทรวงฯ ในขณะนั้นใช้อำนาจมิชอบฉวยโอกาสจากความเกรงกลัวของผู้ใต้บังคับบัญชารวบรัดให้ที่ประชุมอ.ก.พ.มีมติให้ไล่โจทก์ออกจากราชการมีเจตนาไม่สุจริตไม่ให้ความเป็นธรรมเพียงพอโดยพิจารณาอุทธรณ์ในทางที่จะยืนยันคำสั่งซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงชื่อในขณะออกคำสั่งทำให้จำเลยที่ 2 เห็นชอบกับคำสั่งของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายหรือมิชอบด้วยกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิหรือจำเลยทั้งสามทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ดังที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไล่เบี้ยค่าฤชาธรรมเนียม: ค่าฤชาธรรมเนียมไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนโดยตรงจากการละเมิด
ในคดีที่โจทก์ถูกบิดาของผู้ตายฟ้องให้รับผิดร่วมกับจำเลยในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยกระทำไปในทางการที่จ้างและโจทก์ผู้ซึ่งเป็นนายจ้างต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมด้วยดอกเบี้ยและใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนให้บิดาของผู้ตายไปแล้วค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลสั่งให้ใช้แทนเนื่องจากโจทก์ต่อสู้คดีและเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนอันเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิด จึงไล่เบี้ยให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 426 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของเจ้าของเรือและผู้ขับเรือในละเมิด และการพิสูจน์สถานะทางครอบครัวเพื่อสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 นำเรือไปรับจ้างบรรทุกสินค้าแทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ตกลงทำกิจการนั้นถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับเรือทำให้บุตรโจทก์ตาย
เอกสารสูติบัตรที่ว่าบิดามารดาเด็กมิได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อ 20 ปีมาแล้ว เป็นแต่การกะประมาณเมื่อแจ้งการเกิดของบุตรไม่ลบล้างพยานหลักฐานและสำเนาทะเบียนบ้านที่ว่าบิดามารดาอยู่กินด้วยกันมากว่า 40 ปีก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5
เอกสารสูติบัตรที่ว่าบิดามารดาเด็กมิได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อ 20 ปีมาแล้ว เป็นแต่การกะประมาณเมื่อแจ้งการเกิดของบุตรไม่ลบล้างพยานหลักฐานและสำเนาทะเบียนบ้านที่ว่าบิดามารดาอยู่กินด้วยกันมากว่า 40 ปีก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง กรณีลูกจ้างนำรถของนายจ้างไปใช้ส่วนตัวหลังหมดเวลาทำงาน
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถกลับมาแล้วก็นำรถเข้าตรวจสภาพที่ปั๊มน้ำมันของจำเลยที่ 2 เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ขับรถเปล่าคันนี้จะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของจำเลยที่ 1 เพื่อจะกลับมานอนและเตรียมตัวจะเดินทางในวันรุ่งขึ้นอีกระหว่างทางขาไปได้ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายดังนี้แม้ตามระเบียบเมื่อคนขับรถนำรถเข้าเก็บแล้ว ก่อนจะถึงเวลารับส่งคนโดยสารคนขับจะนำรถออกจากที่เก็บไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเท่านั้นก็ตาม แต่การควบคุมดูแลหละหลวมมาก และเป็นเช่นนี้ก่อนเกิดเหตุถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้คนขับนำรถออกไปใช้เมื่อหมดเวลาทำงานแล้วได้ เมื่อคนขับไปทำละเมิดก็ต้องถือว่าได้กระทำในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดต่อผลละเมิดของลูกจ้าง
เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดซึ่งลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดในหนี้อันเกิดจากการละเมิดดังกล่าวโดยไม่จำกัดจำนวนร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดต่อความเสียหายจากการละเมิดของลูกจ้าง
เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดซึ่งลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดในหนี้อันเกิดจากการละเมิดดังกล่าวโดยไม่จำกัดจำนวนร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตของผู้บังคับคดี แม้ผู้ถูกยึดมีสิทธิในทรัพย์สินร่วม ศาลฎีกาตัดสินไม่เป็นการละเมิด
ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์และภริยาของลูกหนี้จำเลย ลูกหนี้จำเลยเป็นผู้ทำนาในที่พิพาทตลอดมาขณะที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่พิพาทโจทก์ก็อยู่ด้วย โจทก์มิได้คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวและมิได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจทราบได้ว่าที่พิพาทไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่จำเลยนำยึดที่พิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3260/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิในสาธารณสมบัติของแผ่นดิน กรณีปิดกั้นร่องน้ำสาธารณะ ทำให้ผู้อื่นเสียหาย
โจทก์ขุดร่องน้ำในที่สาธารณะรับน้ำมายังนาของโจทก์ ราษฎรใช้น้ำในร่องน้ำนั้นทำนาและเลี้ยงสัตว์มา 40 ปี โดยขุดร่องน้ำเล็กชักน้ำมาสู่นาของตน ร่องน้ำนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยปิดร่องน้ำทำลายคันและทำนาในร่องน้ำ ทำให้โจทก์ใช้น้ำทำนาไม่ได้ ได้รับความเสียหายพิเศษ เป็นละเมิดต่อโจทก์ ศาลพิพากษาให้จำเลยสร้างคันดินและทำให้เป็นร่องน้ำตามเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3190/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: การฟ้องเรียกค่าเสียหายหลังนิติสัมพันธ์สิ้นสุดนานกว่า 10 ปี ศาลยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำนิติกรรมให้โจทก์โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ รู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของรัฐบาลแล้วยังขืนทำการโอนให้โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ถูกผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ฟ้องขับไล่ ศาลฎีกาพิพากษาขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาท ทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับ เมื่อคดีฟังข้อเท็จจริงได้ว่า นับแต่วันที่โจทก์ทำนิติกรรมซื้อที่ดินพิพาทจนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลเป็นเวลาห่างกันถึง 21 ปี และโจทก์เพิ่งยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังจากที่โจทก์ได้ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนแล้วถึง 2 ปีเศษ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ