พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387-389/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งสิทธิในที่ดินและการทำลายสัญญาซื้อขาย: จำเป็นต้องฟ้องผู้ซื้อร่วมด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และขอทำลายนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยผู้ขายกับบุคคลภายนอกผู้ซื้อเมื่อคดีปรากฏว่า จำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนขายที่รายพิพาท และส่งมอบการครอบครองให้ผู้ซื้อไปแล้วดังนี้ เมื่อมิได้ฟ้องผู้ซื้อเข้ามาเป็นจำเลยด้วยแม้ศาลจะวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็จะพิพากษาให้ทำลายหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยและผู้ซื้อไม่ได้เพราะผู้ซื้อเป็นบุคคลภายนอกคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงและการบังคับตามสัญญาซื้อขายหลังเจ้าของร่วมเสียชีวิต แม้เกินอายุความมรดก
สามีภริยาผู้เป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน ทำสัญญาจะขายที่ดินนั้นแก่เขา โดยส่งมอบที่ดินและโฉนดให้ผู้ซื้อครอบครองแล้ว และผู้ขายก็ได้รับชำระราคาครบถ้วนแล้ว ต่อมาสามีตายลงเสียก่อนโอนโฉนดให้ผู้ซื้อ ดังนี้แม้ผู้ซื้อจะฟ้องคดีขอบังคับให้โอนตามสัญญาภายหลังสามีตายเกิน 1 ปี ซึ่งขากอายุความมรดกแล้วก็ตาม ก็ถือได้ว่าผู้ซื้อได้ครอบครองที่ดินที่จะซื้อขายกัน มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินไว้จนกว่าจะโอนกรรมสิทธิได้ เหตุที่ผู้ขายคนหนึ่งตายเกิน 1 ปีแล้ว ย่อมไม่ห้ามผู้ซื้อผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจะใช้สิทธิบังคับตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 189,241,
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1726/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดิน: ศาลต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะใบเหยียบย่ำ
โจทก์ฟ้องว่า ผู้มีชื่อได้ขอให้อำเภอออกใบเหยียบย่ำทับที่ของโจทก์และผู้นับได้ขายที่ให้แก่จำเลย จึงขอให้เพิกถอนสัญญา ซื้อขายและแสดงว่าที่เป็นของโจทก์ ดังนี้ศาลจะวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่เจ้าหน้าที่ออกใบเหยียบย่ำ หาชอบไม่ ศาลจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่างๆ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่คืนที่ดินหลังสัญญาซื้อขาย: สัญญาเดิมด้วยปากเปล่าเป็นโมฆะ แต่สัญญาใหม่เป็นคำมั่นจะขายใช้ได้
ขายที่ดินและโรงเรือนให้แก่ญาติกัน โดยตกลงกันด้วยปากเปล่า ก่อนทำหนังสือสัญญาซื้อขายว่า ภายใน 10 ปีผู้ซื้อยอมให้ผู้ขายมีสิทธิไถ่คืนได้ ถือว่าการตกลงด้วยปากเปล่าดังนี้เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนแล้ว ข้อตกลงเช่นนี้ ก็สูญเปล่าไม่มีผลบังคับแก่กันได้ สัญญาซื้อขายที่ทำกันในภายหลังนั้น จึงสำเร็จเด็ดขาดไป แต่เมื่อปรากฎว่าต่อมาอีก 2 ปีเศษ ผู้ซื้อกับผู้ขายได้ทำหนังสือสัญญากันอีก ให้คำมั่นสัญญาว่า ที่ดินและโรงเรือนรายนี้จะไม่ขายคนอื่น และภายใน 10 ปีนับแต่วันซื้อขาย ผู้ขายมีเงินจะซื้อกลับผู้ซื้อพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันเซ็นสัญญา ดังนี้ ก็ย่อมถือได้ว่าเป็นคำมั่นจะขายตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 456 วรรค 2 ผู้ขายเดิมจึงมีสิทธิจะฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาใหม่นี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่คืนที่ดิน: สัญญาเดิมด้วยปากเปล่าเป็นโมฆะ แต่สัญญาใหม่เป็นคำมั่นจะขายที่บังคับได้
ขายที่ดินและโรงเรือนให้แก่ญาติกันโดยตกลงกันด้วยปากเปล่า ก่อนทำหนังสือสัญญาซื้อขายว่า ภายใน 10 ปีผู้ซื้อยอมให้ผู้ขายมีสิทธิไถ่คืนได้ถือว่าการตกลงด้วยปากเปล่าดังกล่าวนี้ เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนแล้ว ข้อตกลงเช่นนี้ก็สูญเปล่าไม่มีผลบังคับแก่กันได้สัญญาซื้อขายที่ทำกันในภายหลังนั้น จึงสำเร็จเด็ดขาดไป แต่เมื่อปรากฏว่าต่อมาอีก 2 ปีเศษ ผู้ซื้อกับผู้ขายได้ทำหนังสือสัญญากันอีกให้คำมั่นสัญญาว่า ที่ดินและโรงเรือนรายนี้จะไม่ขายคนอื่นและภายใน 10 ปีนับแต่วันซื้อขาย ผู้ขายมีเงินจะซื้อกลับ ผู้ซื้อยินยอมขายกลับให้ ตามราคาซื้อพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันเซ็นสัญญาดังนี้ ก็ย่อมถือได้ว่าเป็นคำมั่นจะขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสองผู้ขายเดิมจึงมีสิทธิจะฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาใหม่นี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นโมฆะ และสิทธิในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของผู้อื่น
บิดาเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับบุตร แล้วบิดาได้ทำสัญญากู้เงินจากผู้อื่นโดยนำที่ดินให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ และกล่าวว่าถ้าไม่นำต้นเงินมาส่งภายในกำหนดเวลายอมยกที่ดินให้เป็นสิทธิตลอดไปซึ่งในกรณีนี้มีเพียง 3 เดือน ดังนี้ย่อมเป็นการทำสัญญาซื้อขาย เมื่อคู่สัญญามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว สัญญาย่อมเป็นโมฆะ ผู้ให้กู้จะอ้างสิทธิอย่างใดในที่ดินนั้นไม่ได้ บุตรย่อมเรียกร้องเอาที่ดินคืนได้
เมื่อผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิในที่ดินนั้นแล้วปลูกโรงเรือนและสิ่งเพาะปลูกโรงเรือนและสิ่งเพาะปลูกลงในที่ดินโดยอ้างว่าปลูกทำลงโดยสุจริตไม่ได้ รูปคดีต้องด้วย ม.1311 และเมื่อเจ้าของที่ดินแสดงได้ว่าตนมิได้ประมาทเลิ่นเล่อ เจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิบังคับให้ผู้ปลูกรื้อถอนไปได้ตาม ม.1310
เมื่อผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิในที่ดินนั้นแล้วปลูกโรงเรือนและสิ่งเพาะปลูกโรงเรือนและสิ่งเพาะปลูกลงในที่ดินโดยอ้างว่าปลูกทำลงโดยสุจริตไม่ได้ รูปคดีต้องด้วย ม.1311 และเมื่อเจ้าของที่ดินแสดงได้ว่าตนมิได้ประมาทเลิ่นเล่อ เจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิบังคับให้ผู้ปลูกรื้อถอนไปได้ตาม ม.1310
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นโมฆะ เจ้าของมีสิทธิเรียกคืนและบังคับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
บิดาเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับบุตร แล้วบิดาได้ทำสัญญากู้เงินจากผู้อื่นโดยนำที่ดินให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้ และกล่าวว่าถ้าไม่นำต้นเงินมาส่งภายในกำหนดเวลายอมยกที่ดินให้เป็นสิทธิตลอดไปซึ่งในกรณีนี้มีเพียง 3 เดือน ดังนี้ย่อมเป็นการทำสัญญาซื้อขายเมื่อคู่สัญญามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว สัญญาย่อมเป็นโมฆะ ผู้ให้กู้จะอ้างสิทธิอย่างใดในที่ดินนั้นไม่ได้ บุตรย่อมเรียกร้องเอาที่ดินคืนได้
เมื่อผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิในที่ดินนั้นแล้วปลูกโรงเรือนและสิ่งเพาะปลูกลงในที่ดินโดยอ้างว่าปลูกทำลงโดยสุจริตไม่ได้รูปคดีต้องด้วย มาตรา 1311 และเมื่อเจ้าของที่ดินแสดงได้ว่าตนมิได้ประมาทเลินเล่อ เจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิบังคับให้ผู้ปลูกรื้อถอนไปได้ตาม มาตรา 1310
เมื่อผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิในที่ดินนั้นแล้วปลูกโรงเรือนและสิ่งเพาะปลูกลงในที่ดินโดยอ้างว่าปลูกทำลงโดยสุจริตไม่ได้รูปคดีต้องด้วย มาตรา 1311 และเมื่อเจ้าของที่ดินแสดงได้ว่าตนมิได้ประมาทเลินเล่อ เจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิบังคับให้ผู้ปลูกรื้อถอนไปได้ตาม มาตรา 1310
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1302/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้อง, สัญญาซื้อขาย, เจตนาที่แท้จริง, ข้อผิดพลาดเลขที่โฉนด, การแปลความหมายเอกสาร
คดีพิพาทกันเรื่องซื้อขายที่ดิน โจทก์บรรยายฟ้องระบุเนื้อที่อาณาเขตกว้างยาวไว้ชัดเจน แต่ลงเลขโฉนดผิดโดยเข้าใจผิด ต่อมาโจทก์จึงขอแก้เลขที่โฉนดใหม่ ดังนี้เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย ที่ดินที่พิพาทไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย จึงมิใช่เป็นการฟ้องใหม่หรือตั้งประเด็นใหม่
โจทก์เพิ่งทราบข้อผิดพลาดนี้ในวันชี้สองสถาน จึงขอแก้ฟ้องได้หลังจากวันชี้สองสถาน
สัญญาซื้อขายที่ดินที่ระบุเลขโฉนดและเนื้อที่ดิน พร้อมทั้งลักษณะเขตที่ที่จะแบ่งขายไว้ด้วย แต่ปรากฏว่าโฉนดเลขที่นั้นมีเนื้อที่ไม่ตรงกับในสัญญา สัญญานั้นจึงมีข้อความกำกวมไม่ชัดเจนโจทก์ย่อมนำสืบพยานบุคคล เพื่อแสดงถึงเจตนาอันแท้จริงได้ เป็นการนำสืบเพื่อแปลความหมายของเอกสาร ไม่ใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
โจทก์เพิ่งทราบข้อผิดพลาดนี้ในวันชี้สองสถาน จึงขอแก้ฟ้องได้หลังจากวันชี้สองสถาน
สัญญาซื้อขายที่ดินที่ระบุเลขโฉนดและเนื้อที่ดิน พร้อมทั้งลักษณะเขตที่ที่จะแบ่งขายไว้ด้วย แต่ปรากฏว่าโฉนดเลขที่นั้นมีเนื้อที่ไม่ตรงกับในสัญญา สัญญานั้นจึงมีข้อความกำกวมไม่ชัดเจนโจทก์ย่อมนำสืบพยานบุคคล เพื่อแสดงถึงเจตนาอันแท้จริงได้ เป็นการนำสืบเพื่อแปลความหมายของเอกสาร ไม่ใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาซื้อขาย, การถอนฟ้อง, คืนเงินมัดจำ: โจทก์มีสิทธิแม้ใช้เงินผู้อื่นซื้อ
ผู้ซื้อเอาเงินของผู้อื่นมาซื้อตึกจากผู้ขาย ผู้ซื้อย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องผู้ขายในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาจะซื้อขายนั้นได้
โจทย์ฟ้องขอให้+ทำนิติกรรมขายตึกระหว่างจำเลยที่ 1-2 กับจำเลยที่ 3 และให้โอนตึกพิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าโอนกรรมสิทธิไม่ได้ก็ขอให้จำเลยใช้เงินมัดจำคืน เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 เสีย และขอถอนคำขอท้ายฟ้องเรื่องที่จะขอให้ทำลายนิติกรรม การซื้อขายและคำขอให้โอนตึกเสีย ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1-2 ทราบเพราะจำเลยที่ 1-2 ต้องรับผิดในเรื่องคืนเงินมัดจำและดอกเบี้ย
โจทย์ฟ้องขอให้+ทำนิติกรรมขายตึกระหว่างจำเลยที่ 1-2 กับจำเลยที่ 3 และให้โอนตึกพิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าโอนกรรมสิทธิไม่ได้ก็ขอให้จำเลยใช้เงินมัดจำคืน เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 เสีย และขอถอนคำขอท้ายฟ้องเรื่องที่จะขอให้ทำลายนิติกรรม การซื้อขายและคำขอให้โอนตึกเสีย ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1-2 ทราบเพราะจำเลยที่ 1-2 ต้องรับผิดในเรื่องคืนเงินมัดจำและดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของคู่สัญญาแม้ใช้เงินผู้อื่นซื้อ และการถอนฟ้องที่ไม่ต้องแจ้งคู่ความอื่น
ผู้ซื้อเอาเงินของผู้อื่นมาซื้อตึกจากผู้ขาย ผู้ซื้อย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องผู้ขายในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาจะซื้อขายนั้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ทำลายนิติกรรมขายตึกระหว่างจำเลยที่ 1-2กับจำเลยที่ 3 และให้โอนตึกพิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ก็ขอให้จำเลยใช้เงินมัดจำคืน เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 เสีย และขอถอนคำขอท้ายฟ้องเรื่องที่จะขอให้ทำลายนิติกรรม การซื้อขายและคำขอให้โอนตึกเสีย ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1-2 ทราบเพราะจำเลยที่ 1-2 ต้องรับผิดในเรื่องคืนเงินมัดจำและดอกเบี้ยเท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ทำลายนิติกรรมขายตึกระหว่างจำเลยที่ 1-2กับจำเลยที่ 3 และให้โอนตึกพิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ก็ขอให้จำเลยใช้เงินมัดจำคืน เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 เสีย และขอถอนคำขอท้ายฟ้องเรื่องที่จะขอให้ทำลายนิติกรรม การซื้อขายและคำขอให้โอนตึกเสีย ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1-2 ทราบเพราะจำเลยที่ 1-2 ต้องรับผิดในเรื่องคืนเงินมัดจำและดอกเบี้ยเท่านั้น