คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ จำเป็นต้องมีการวางเงินหรือหาประกันตามคำพิพากษาหรือไม่
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ โดยมิได้นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันมาให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ โดยมิได้สั่งเรื่องจำเลยไม่วางเงินและมิได้ส่งไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง เป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะจำเลยมิได้นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันมาให้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้จำเลยนำเงินมาวางหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นภายในเวลากำหนด แล้วให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อสั่งต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ - หน้าที่ศาลในการพิจารณามูลค่าความเสียหายและหลักประกัน
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยยังไม่ได้สั่งเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไม่วางเงินหรือหาประกันมาวางเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้ตามคำพิพากษา โดยไม่ได้ส่งไปให้ศาลอุทธรณ์สั่งย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ และถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลหรือหาประกันให้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงชอบที่จะสั่งให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลเห็นสมควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3490/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่นำเงินค่าธรรมเนียมวางศาลภายในกำหนด แม้ศาลอนุญาตขยายเวลาแล้ว ถือเป็นเหตุไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขอขยายเวลาการนำเงิน ค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลา แต่จำเลยไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนด และได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาเข้ามาอีกซึ่งเป็นวันพ้นกำหนดยื่นอุทธรณ์และวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้ให้แก่โจทก์แล้วโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์พิเศษและเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอขยายเวลาและไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยไปศาลอุทธรณ์และเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์จำเลยคำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236จำเลยฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3463/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องอุทธรณ์และการรอการลงโทษ จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดี
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดและถอนอุทธรณ์จำเลยที่ 7ไม่ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งเจ็ดต่อไป ดังนี้แม้ข้อหาที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิขอถอนฟ้องในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม แต่ย่อมถือได้ว่า โจทก์มีเจตนาที่จะถอนฟ้องอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 คงอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 7 แล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีความผิดตามอุทธรณ์ของโจทก์นั้น คำสั่งและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3415/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์: ศาลมีอำนาจอนุญาตตามดุลพินิจและมิใช่การดำเนินกระบวนการที่ไม่สุจริต
คดีก่อน โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองกับ น. อ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 5,000 บาท และครั้งหลังจำนวน 10,000 บาท มีจำเลยที่ 2 และ น. เป็นผู้ค้ำประกัน หลังจากจำเลยที่ 1 กู้เงินไปแล้ว ไม่ชำระโจทก์ขอคิดดอกเบี้ย 5 ปี นับแต่วันรับเงินไป รวมเป็นดอกเบี้ย 9,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองและน. ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 24,000 บาท จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การแต่ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้ถอนฟ้อง น. ศาลอนุญาตหลังจากสืบพยานโจทก์ และจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยว่า คดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ยืมเงินโจทก์ 5,000 บาท และ 10,000 บาท มีจำเลยที่ 2ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินคืนโจทก์แล้ว 9,500 บาทโจทก์ย่อมรู้อยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ไม่เต็มตามฟ้องแต่กลับฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดเกินกว่าเป็นจริง ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้โดยอาศัยสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันฉบับเดิมโดยบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว คงค้างเงินต้นและดอกเบี้ยบางส่วนเช่นนี้ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีก่อนนั้นเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีแล้ว การที่โจทก์นำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันฉบับเดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อเรียกเงินที่กู้ไปตามสัญญาฉบับดังกล่าวอีก โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความเดียวกัน จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์และการพิจารณาเจตนาชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียม
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยว่าอุทธรณ์ภายในกำหนดรับอุทธรณ์นั้นไม่ชอบ กรณีดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์สั่งและการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้โดยไม่ได้กำหนดให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันมาวางศาลใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้คำพิพากษาถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาล หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3301/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหุ้นส่วนในหนี้ภาษีและการอุทธรณ์การประเมินที่ชอบด้วยกฎหมาย
ประมวลรัษฎากร มาตรา 21 บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเงินภาษีอากรและแจ้งจำนวนเงินซึ่งต้องชำระไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากร เมื่อปรากฏว่าผู้ต้องเสียภาษีอากรคือจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินไปยังจำเลยที่ 1 แล้ว แม้มิได้แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ทราบก็เป็นการประเมินที่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อหนี้ที่ให้รับผิดเป็นหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 ออกจากหุ้นส่วนไปยังไม่เกินสองปี โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินได้หลักฐานข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน กับมีรายจ่ายต้องห้าม จึงมีอำนาจปรับปรุงรายการใหม่ให้ถูกต้อง และแจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 1 เสียภาษีและเบี้ยปรับได้ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ระบุว่ารายจ่ายทั้ง 5 รายการนั้นต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี อนุมาตราใดก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว เพราะกฎหมายมิได้บังคับว่าคำฟ้องของโจทก์ต้องระบุตัวบทกฎหมายตลอดจนมาตราและอนุมาตราไว้ด้วย
แม้ประมวลรัษฎากร มาตรา 21 จะบัญญัติห้ามอุทธรณ์การประเมินในกรณีที่ผู้ต้องเสียภาษีอากรไม่ปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 19 หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ตาม แต่ในคดีนี้จำเลบยที่ 1 เป็นผู้ต้องเสียภาษี จำเลยที่ 1เท่านั้นที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้ถูกประเมินด้วยจึงต่อสู้ว่าการประเมินไม่ชอบได้
การคำนวณเงินเพิ่มนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 27 วรรคสาม บัญญัติห้ามมิให้คำนวณเกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินเพิ่มเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3268/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. ต้องเป็นกรณีมีปัญหาความสัมพันธ์ผู้เช่า-ผู้ให้เช่าเท่านั้น
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 56,57 ผู้ที่จะมีสิทธิร้องขอต่อ คชก.ตำบล วินิจฉัยเกี่ยวกับ ที่ดินที่เช่า และอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลต่อ คชก.จังหวัด เมื่อ ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ นั้น จะ ต้องเป็นกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า แต่ ขณะ ที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับโจทก์ มิใช่ผู้เช่า นา พิพาท จาก จำเลยจึงมิใช่ผู้เช่าตามพระราชบัญญัตินี้ โจทก์จึง ไม่มี สิทธิ ร้องขอ ต่อ คชก.ตำบล วินิจฉัยหรืออุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด ต่อ ศาล โจทก์ จึงไม่อาจนำปัญหาในฐานะผู้เช่านาเดิม และการเช่าระงับไปแล้วนั้นมาอาศัยสิทธิดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน การผิดสัญญาและการชดใช้ค่าเสียหายจากการอุทธรณ์คดีแพ่ง
โจทก์จำเลยแถลงในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาโกงเจ้าหนี้และเบิกความเท็จ และศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า โจทก์ยอมรับว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้ จ.จำนวน100,000 บาท และโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวแลกกับการที่จำเลยงดเว้นใช้สิทธิอุทธรณ์ในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกเรื่องเพิกถอนการฉ้อฉล จำเลยตกลง โดยทนายโจทก์และจำเลยลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ถือว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันกัน เมื่อโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาแล้ว จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์ในคดีแพ่งดังกล่าว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยยื่นอุทธรณ์คดีแพ่งฝ่าฝืนข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยผิดสัญญา จำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวต่อโจทก์ ส่วนค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นฎีกา แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยจะยังไม่ได้ยื่นฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าว แต่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นฎีกาและโจทก์ได้แก้ฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาก็พิพากษาให้จำเลยรับผิดค่าใช้จ่ายของโจทก์ในชั้นฎีกาได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์จ่ายเงินจำนวนนี้เมื่อใด จึงให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยสำหรับค่าใช้จ่ายชั้นฎีกานับแต่วันอ่านคำพิพากษาฎีกาคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์-ฎีกาในคดีปรับน้อยกว่า 100 บาท และการพิจารณาโทษรอการลงโทษ
เฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา371ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนั้นอัตราโทษอย่างสูงที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ทวิการที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดรวมถึงอุทธรณ์ดุลพินิจในการกำหนดโทษซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาความผิดตามมาตรา371ด้วยโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรืออัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ตรีบัญญัติไว้จึงเป็นการไม่ชอบศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวความผิดในข้อหาดังกล่าวย่อมยุติเพียงศาลชั้นต้นผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา221หาได้ไม่เพราะมิใช่กรณีฎีกาของจำเลยต้องห้ามฎีกาตามมาตรา218,219และ220การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาทั้งหมดจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกา
of 349