พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ร่วมและผลของการครอบครองปรปักษ์ เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือ
เมื่อในสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินระบุว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกันซึ่งก็ต้องหมายความว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง เมื่อส่วนของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมยังมีอยู่ครึ่งหนึ่ง และ ป.บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมก็หาได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ทั้งไม่เคยบอกกล่าวโจทก์ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่ามิได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่า ป.หรือจำเลยครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยจึงไม่ได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อจำเลยทั้งสองสืบสิทธิของ ป.บิดาซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ จึงต้องฟังว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเท่ากับโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ร่วมและผลของการรับมรดก การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ
เมื่อในสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินระบุว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกันซึ่งก็ต้องหมายความว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งเมื่อส่วนของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมยังมีอยู่หนึ่ง และป. บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมกันหาได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ ทั้งไม่เคยบอกกล่าวโจทก์ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่ามิได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า ป. หรือจำเลยครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยจึงไม่ได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อจำเลยทั้งสองสืบสิทธิของ ป.บิดาซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ จึงต้องฟังว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเท่ากับโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดิน การครอบครองปรปักษ์ และการสืบสิทธิมรดก
เมื่อในสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินระบุว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกันซึ่งก็ต้องหมายความว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งเมื่อส่วนของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมยังมีอยู่หนึ่งและป. บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมกันหาได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ทั้งไม่เคยบอกกล่าวโจทก์ว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่ามิได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าป. หรือจำเลยครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยจึงไม่ได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เมื่อจำเลยทั้งสองสืบสิทธิของป.บิดาซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์จึงต้องฟังว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเท่ากับโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5007/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์หลังคำพิพากษาถึงที่สุด: เจตนาครอบครองแทนโจทก์และการแจ้งให้ทราบ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินพิพาทคดีนี้ตามจำนวนเนื้อที่ดินเฉพาะส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งจำเลยเคยฟ้องโจทก์ให้ไปจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยทราบดีมาก่อนแล้วแม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยอยู่อาศัยที่โจทก์ฟ้องนั้นอยู่ส่วนไหนของที่ดินและมีจำนวนเนื้อที่เท่าไหร่ก็ตาม ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
เหตุที่จำเลยอ้างถึงการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์สืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยเคยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้นให้โจทก์โอนแก่จำเลย ซึ่งจำเลยได้อยู่อาศัยมาก่อนโดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องจำเลยและคดีถึงที่สุด แม้จำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาจนถึงโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ตาม แต่ผลของคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาก่อนนั้น ยังคงผูกพันจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุด ซึ่งฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยอยู่ ฉะนั้นในการครอบครองของจำเลยนับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษามา จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั่นเองเหตุที่ว่านี้จำเลยจะเปลี่ยนแปลงอ้างเหตุได้ก็โดยจำเลยจะต้องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือการครอบครองแทนโจทก์ได้ก็โดยจำเลยจะต้องแสดงเจตนาแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะยึดถือแทนโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองต่อไป ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 แต่ตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีการแสดงเจตนาดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ทราบ จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุแห่งอายุความตามที่จำเลยให้การมายันโจทก์ได้
เหตุที่จำเลยอ้างถึงการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์สืบเนื่องมาจากกรณีจำเลยเคยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้นให้โจทก์โอนแก่จำเลย ซึ่งจำเลยได้อยู่อาศัยมาก่อนโดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องจำเลยและคดีถึงที่สุด แม้จำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาจนถึงโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ตาม แต่ผลของคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาก่อนนั้น ยังคงผูกพันจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุด ซึ่งฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยอยู่ ฉะนั้นในการครอบครองของจำเลยนับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษามา จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั่นเองเหตุที่ว่านี้จำเลยจะเปลี่ยนแปลงอ้างเหตุได้ก็โดยจำเลยจะต้องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือการครอบครองแทนโจทก์ได้ก็โดยจำเลยจะต้องแสดงเจตนาแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะยึดถือแทนโจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองต่อไป ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 แต่ตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีการแสดงเจตนาดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ทราบ จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุแห่งอายุความตามที่จำเลยให้การมายันโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4833/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบต่างจากคำให้การไม่กระทบประเด็นครอบครองปรปักษ์ หากเป็นการอ้างสิทธิในฐานะผู้ซื้อ
แม้ทางนำสืบของจำเลยจะแตกต่างกับคำให้การของจำเลยในเรื่องจำเลยซื้อที่พิพาทจาก ก. หรือซื้อจาก ย. ผ่าน ก. แต่ประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดมีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยซื้อที่พิพาทจาก ก. หรือไม่ ข้อที่โจทก์กับจำเลยโต้แย้งกันคือ จำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ก. หรืออาศัยสิทธิของจำเลยเองในฐานะผู้ซื้อที่พิพาท ดังนั้นไม่ว่าจำเลยจะซื้อที่พิพาทจาก ย. โดยชำระเงินผ่าน ก. หรือ ก. ซื้อที่ดินจาก ย. แล้วแบ่งที่พิพาทขายให้จำเลย ก็เป็นกรณีที่จำเลยนำสืบอ้างว่าได้เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองในฐานะผู้ซื้อที่พิพาทเช่นกัน การนำสืบของจำเลยจึงอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไม่ถึงกับเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้ ส่วนจะมีน้ำหนักน่าเชื่อหรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4610/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินและการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกายกฟ้องแย้ง แต่แก้ไขคำพิพากษาให้ถูกต้อง
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. และ จ. ฟ้องจำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14613 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวาซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ป. และ จ. อ้างว่าจำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ชั่วคราว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้ว การออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวกระทำโดยมิชอบ จำเลยขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยให้จำเลย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และเพิกถอนโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินของจำเลย เมื่อตามคำฟ้องแย้งคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทปรากฎว่าคู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าที่ดินที่จำเลยอ้างว่าจำเลยครอบครองอยู่และโจทก์ออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของจำเลยนั้นมีจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาที่ดินพิพาทราคาไร่ละ60,000 บาท และศาลชั้นต้นกำหนดราคาตามที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาท ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาททั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจึงมีราคาจำนวนละ 107,400 บาทไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาโดยมิได้พิพากษาในส่วนฟ้องแย้งโดยให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ตามศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องเกิดขึ้นบนที่ดินของผู้อื่น มิใช่ที่ดินของตนเอง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปก่อสร้างรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและปลูกต้นไม้ในที่ดินโจทก์ ขอให้รื้อถอนออกไป จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยกระทำลงบนที่ดินของจำเลยที่ซื้อมา หลังจากซื้อมาแล้วจำเลยได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้วดังนั้น รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2540)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2540)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4549/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท การครอบครองปรปักษ์ และผลผูกพันคำพิพากษาเดิม
การเดินเผชิญสืบเป็นการสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่งและเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะเดินเผชิญสืบหรือไม่ โดยพิเคราะห์ถึงสภาพ ความจำเป็น หากข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเดินเผชิญสืบอีก ทั้งนี้เพื่อให้คดีดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรมคดีนี้ตามคำฟ้องและคำให้การมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ ไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับเนื้อที่ดินหรือแนวเขตที่ดิน ทั้งในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนวินิจฉัยไว้แล้ว และแม้ศาลจะอนุญาตให้เดินเผชิญสืบที่ดินพิพาท ก็ไม่อาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เดินเผชิญสืบจึงชอบแล้ว
ก่อนคดีนี้ จำเลยเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าบิดาโจทก์ได้ยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 9036 แปลงเดียวกับที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ให้ผู้ร้องและผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครอง โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า บิดาโจทก์มิได้ยกที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้อง ผู้ร้องปลูกบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของบิดาโจทก์คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องขอโดยวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินของจำเลยเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์แม้จำเลยจะครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อโจทก์และจำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของบิดาโจทก์เจ้าของที่ดินเดิม คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความในคดีนี้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของบิดาโจทก์ ฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้ได้ จำเลยจะยกสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้
ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์จึงถึงที่สุด จำเลยรื้อฟื้นฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวอีกหาได้ไม่
ก่อนคดีนี้ จำเลยเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าบิดาโจทก์ได้ยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 9036 แปลงเดียวกับที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ให้ผู้ร้องและผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครอง โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า บิดาโจทก์มิได้ยกที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้อง ผู้ร้องปลูกบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของบิดาโจทก์คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องขอโดยวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินของจำเลยเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์แม้จำเลยจะครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อโจทก์และจำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของบิดาโจทก์เจ้าของที่ดินเดิม คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความในคดีนี้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของบิดาโจทก์ ฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้ได้ จำเลยจะยกสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้
ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์จึงถึงที่สุด จำเลยรื้อฟื้นฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4545/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลพิจารณาแล้วเป็นการรื้อร้องคดีเดิม
ที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ผู้ร้องเคยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีก่อน เมื่อศาลชั้นต้นในคดีก่อนมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยระบุชัดว่าเป็นที่ดินส่วนใต้สุดมุมตะวันตก จึงเป็นการรับรองว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา จำนวนเนื้อที่ตามที่ศาลชั้นต้นระบุนั้นเป็นเพียงการกะประมาณเท่านั้น มิได้กำหนดไว้เป็นจำนวนแน่นอนแต่อย่างใด ภายหลังปรากฏจากการรังวัดว่าที่ดินเฉพาะส่วนตามที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองนั้นมีเนื้อที่ถึง 240 ตารางวา ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดรวมถึงที่ดินพิพาท 40 ตารางวาด้วย ผู้ร้องชอบที่จะดำเนินการบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวาดังกล่าวในคดีก่อน การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการรื้อร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ซึ่งศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4225-4226/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: พยานเบิกความขัดแย้งกับฝ่ายฟ้อง ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อต่อสู้ที่น่าเชื่อถือกว่า
การที่ อ. พยานโจทก์เบิกความไม่ตรงกับที่โจทก์และพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความ แต่คำเบิกความของ อ. กลับเจือสมกับที่จำเลยให้การ ทำให้ข้อต่อสู้และพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 มีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์นั้น หากโจทก์เห็นว่า อ. ซึ่งเป็นพยานที่ฝ่ายโจทก์อ้างมาเบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์เอง โจทก์ก็อาจขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถาม อ. เสมือนหนึ่งเป็นพยานซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117 วรรคหก แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถาม อ. พยานโจทก์เสมือนหนึ่งเป็นพยานที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังนี้จะถือว่า อ. เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ยังไม่ได้