คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำร้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 497 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและคำร้องขอพิจารณาใหม่ โดยมีเหตุผลจากความผิดพลาดเรื่องเวลา
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบ-พยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5505/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสนอคดีขอรับรองบุตรหลังบิดาเสียชีวิต: ต้องเริ่มด้วยคำร้องคดีไม่มีข้อพิพาท
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในกรณีที่ชายผู้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นบิดาได้ถึงแก่ความตายไปก่อนเสนอคดีนั้น จะเสนอคดีเป็นคำฟ้องโดยยื่นคำฟ้องผู้ที่ถึงแก่ความตายไปแล้วไม่ได้เพราะไม่มีตัวความที่จะฟ้องเป็นจำเลยและในเบื้องต้นก็ยังไม่ทราบว่าจะมีผู้คัดค้านหรือไม่ การเริ่มคดีในชั้นแรกจึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขึ้นมาก่อน เมื่อมีผู้มีส่วนได้เสียร้องคัดค้าน ศาลจึงจะดำเนินคดีต่อไปอย่างคดีมีข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคำร้องขออุทธรณ์ในข้อเท็จจริง: คดีมีทุนทรัพย์และการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คดีมีทุนทรัพย์และต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่า คดีโจทก์มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ เท่านั้น การที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ให้ยกคำร้อง จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดี และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งและการดำเนินการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) และมาตรา 27 ประกอบด้วย มาตรา 246 และมาตรา 247 แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องว่าจะรับรองหรือไม่ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5240/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำสั่งศาลในการแต่งตั้งผู้อนุบาล: การแต่งตั้งร่วมเป็นไปตามคำร้อง
คำร้องของผู้คัดค้านซึ่งถือเสมือนเป็นคำฟ้องนอกจากจะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้อนุบาล ต.แล้ว ยังขอให้แต่งตั้งผู้คัดค้านซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายในการเป็นผู้อนุบาล ต.เพื่อรวบรวมและจัดการทรัพย์สินของ ต.อีกด้วย คำพิพากษาที่แต่งตั้งให้ผู้คัดค้านร่วมกับผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของ ต.จึงไม่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5240/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำพิพากษา: ศาลแต่งตั้งผู้อนุบาลร่วมได้ หากคำร้องขอไว้ชัดเจน
คำร้องของผู้คัดค้านซึ่งถือเสมือนเป็นคำฟ้องนอกจากจะมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้อนุบาล ต.คนไร้ความสามารถตามที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังขอให้แต่งตั้งผู้คัดค้านซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายในการเป็นผู้อนุบาลเป็นผู้อนุบาล ต. อีกด้วย ศาลจึงมีคำพิพากษาแต่งตั้งให้ผู้คัดค้านร่วมกับผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของ ต. ได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5044/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเลือกดำเนินการระหว่างขอพิจารณาคำร้องใหม่หรืออุทธรณ์คำสั่ง กรณีคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและเห็นว่าจำเลยไม่ยากจน ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาจำเลยชอบที่จะขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ หรือใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 7 วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ หรือวรรคห้า เมื่อจำเลยเลือกยื่นคำขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานมาแสดงเพิ่มเติม จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนไต่สวนอีกทางหนึ่ง การร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ นั้นเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้แล้วแต่พฤติการณ์แห่งคดีเมื่อเห็นได้ชัดว่าพยานหลักฐานที่จำเลยจะขอนำสืบเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานเดิมที่จำเลยสามารถนำสืบได้ในชั้นไต่สวนคำร้องเดิมอยู่แล้ว แต่จำเลยไม่พยายามนำหลักฐานดังกล่าวมาศาลโดยมีเจตนาหน่วงเหนี่ยวคดีให้ล่าช้าอันมีลักษณะประวิงคดี พฤติการณ์จึงไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4774/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีและการขาดนัด: ศาลต้องพิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีก่อนสั่งขาดนัด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มาศาล ส่วนจำเลยที่ 1ทนายจำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ทนายจำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้เสมียนทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแสดงว่าตั้งใจที่จะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 จึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้นัดสืบพยานจำเลยที่ 1 ต่อไป และให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความดังนี้ ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ 1 เลยว่าทนายจำเลยที่ 1 มาศาลไม่ได้เพราะติดว่าความที่ศาลอื่นจริงหรือไม่ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องก็ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ชอบที่จะสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไป และวันดังกล่าวก็มิใช่วันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานอีกต่อไป แม้โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มาศาลในวันนั้น กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดฉะนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2),247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4774/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลมิได้พิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีก่อนสั่งขาดนัด ถือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 23 พฤศจิกายน 2533 ผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยที่ 1 มาศาลและยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งได้นัดไว้ก่อนแล้ว ส่วนโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มาการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอเลื่อนคดีว่า "สั่งในรายงาน"แล้วมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ทนายจำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้เสมียนทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแสดงว่าตั้งใจที่จะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201จึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้นัดสืบพยานจำเลยที่ 1 ต่อไปในวันที่ 20 ธันวาคม 2533 เวลา 13.30 นาฬิกา และให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความจึงไม่ถูกต้อง เนื่องจากศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาคำร้อง ขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ 1เลยว่าทนายจำเลยที่ 1 มาศาลไม่ได้เพราะติดว่าความที่ศาลอื่นจริงหรือไม่ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องก็ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ชอบที่จะสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไว้ และวันที่23 พฤศจิกายน 2533 ก็มิใช่วันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยานอีกต่อไปแม้โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มาศาลในวันดังกล่าว กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัด การที่ศาลชั้นต้นมิได้พิจารณาสั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40แต่กลับก้าวล่วงไปสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณา ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2),247 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่โดยไม่ถูกต้อง เนื่องจากศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษา ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องเกินกำหนด: ศาลต้องไต่สวนก่อนตัดสิน
เมื่อตามคำร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้ทราบการฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อใดข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเกินกำหนด 8 วัน นับแต่ทราบพฤติการณ์แห่งการฝ่าฝืนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสองหรือไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะทำการไต่สวนเสียก่อน ที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ได้ทำการไต่สวนเสียก่อนจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาของผู้คัดค้านมีสิทธิ เพราะศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในคดี ไม่เกินคำร้อง
แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้ผู้คัดค้านชนะคดี แต่เมื่อผู้คัดค้านฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำร้องของผู้ร้องไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้าน จึงเป็นฎีกาที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าพิพากษาไม่ถูกต้องตรงตามประเด็นและผลของคำพิพากษาทำให้เสียสิทธิของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านมีสิทธิฎีกาได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ฟังข้อเท็จจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทโดยตรง หากแต่เป็นการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีประกอบเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ย่อมไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้าน จึงหาใช่เป็นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้องไม่
of 50