พบผลลัพธ์ทั้งหมด 298 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – การไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และการร้องขอความเห็นใจจากศาล ถือเป็นฎีกาที่ต้องห้าม
ฎีกาจำเลยมิได้โต้เถียงว่า จำเลยยังไม่ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดเวลาให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างไร ฎีกาในข้อที่ว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะทิ้งอุทธรณ์ก็ดี หรืออุทธรณ์เพื่อต้องการให้ศาลสูงวินิจฉัยก็ดี มิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งและการไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทำให้ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ฎีกาจำเลยมิได้โต้เถียงว่าจำเลยยังไม่ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดเวลาให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างไรฎีกาในข้อที่ว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะทิ้งอุทธรณ์ก็ดี หรืออุทธรณ์เพื่อต้องการให้ศาลสูงวินิจฉัยก็ดี มิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา249.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก3เดือนปรับ2,000บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218ฎีกาจำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินแปลงที่จำเลยบุกรุกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันอันไม่ใช่ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362ข้อที่ว่าที่ดินแปลงที่จำเลยบุกรุกจะเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นเบื้องต้นต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3539/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ทำให้ อายุความสะดุดหยุด และฟ้องเคลือบคลุมที่ศาลอุทธรณ์ต้องห้าม
จำเลยทำหนังสือรับว่าในปี พ.ศ.2522 ระหว่างที่จำเลยมีส่วนรับผิดชอบในการรับเงินและการจ่ายเงินของโจทก์ มีเงินขาดบัญชีไปจำนวนหนึ่ง จำเลยจะนำหลักฐานไปตรวจสอบกับบัญชีของโจทก์ภายใน 180 วันนับแต่วันทำบันทึก หากตรวจสอบได้ผลว่าเงินขาดบัญชีไปเท่าใด จำเลยยินยอมชดใช้ให้โจทก์ภายใน 180 วัน ข้อความดังกล่าวมีความหมายว่า หากตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเงินขาดบัญชีไปจริง จำเลยยินยอมจะชดใช้ให้ ถือได้ว่าจำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องด้วยทำหนังสือรับสภาพให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงสะดุดหยุด ลงจำเลยรับว่าจะนำหลักฐานไปตรวจสอบบัญชีของโจทก์ภายใน 180 วันนับแต่วันทำบันทึก และรับจะชดใช้เงินที่ขาดบัญชีให้โจทก์ภายใน 180 วันเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงเป็นเวลา 360 วันนับแต่วันทำบันทึกแล้วเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการทำละเมิด แต่โจทก์ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็น ฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อ้างในคำแก้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็น ฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อ้างในคำแก้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ว.อาญา กรณีโต้แย้งดุลพินิจศาลล่างในการรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และรอการลงโทษไว้ ต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาที่ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ เป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัย ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ข้อที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งความผิดโดยนำเงินตามเช็คพิพาทไปชำระแก่โจทก์แล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อนจึงเห็นสมควรรอการลงโทษแก่จำเลย เป็นการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ โจทก์ฎีกาว่าเป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย แต่มิได้ฎีกาว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2907-2908/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม & การไม่โต้แย้งกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลทำให้ไม่สามารถยกขึ้นเป็นเหตุในชั้นอุทธรณ์ได้
อุทธรณ์โจทก์ที่ว่ามิได้จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น เป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริง
การที่โจทก์อ้างว่าผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยซึ่งมิใช่ทนายความซักถามพยานโดยขออนุญาตจากศาล เป็นการมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรกนั้น โจทก์ชอบที่จะยกขึ้นคัดค้านเสียก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาตามมาตรา 27 วรรคสอง เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน โจทก์จะยกปัญหานี้ขึ้นมาโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่
การที่โจทก์อ้างว่าผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยซึ่งมิใช่ทนายความซักถามพยานโดยขออนุญาตจากศาล เป็นการมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรกนั้น โจทก์ชอบที่จะยกขึ้นคัดค้านเสียก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาตามมาตรา 27 วรรคสอง เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน โจทก์จะยกปัญหานี้ขึ้นมาโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 277/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์: การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ดังโจทก์ฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ราชการ ด้วยความประมาทเลินเล่อ เพราะมิได้ปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงิน จากคลัง พ.ศ. 2520 เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นการอุทธรณ์ว่าจำเลยได้กระทำอย่างไรที่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ หาใช่อุทธรณ์ในเรื่องการ ตีความกฎหมายหรือปรับบทกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำของจำเลย แต่อย่างใดไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3041/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การใหม่ที่มิได้ยกขึ้นในศาลล่าง เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ในวันนัดพิจารณาศาลแรงงานได้บันทึกคำให้การของจำเลยและกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือศาลแรงงานสั่งว่า "จำเลยเคยให้การด้วยวาจาไว้แล้ว รวมสำนวนไว้ สำเนาให้โจทก์" ดังนี้ ไม่เป็นการแสดงว่าศาลแรงงานได้มีคำสั่งรับคำให้การเป็นหนังสือไว้แทนคำให้การที่บันทึกไว้เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง พิจารณาเป็นกระทงความผิด
ในการที่จะปรับว่าคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องพิจารณากระทงความผิดเป็นกระทง ๆ ไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงแรก 4,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 1 อีก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี และศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้อันเป็นการแก้มากก็ตาม ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงแรก 4,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 1 อีก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี และศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้อันเป็นการแก้มากก็ตาม ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่ผู้เช่า: อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม-ศาลวินิจฉัยชอบแล้ว
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าใน ขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่มีข้อตกลงให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1ทราบคำบอกกล่าวของโจทก์ที่ไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า มีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์มีกำหนด 12 ปี โดยจำเลยที่ 1 ยกบ้านให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ และจำเลยที่ 1 จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันอีกไม่ได้
จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีหลักฐานการเช่า และไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินพิพาท โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ออกไปจากที่พิพาทแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ยอมออก จึงเป็นการอยู่โดยละเมิด
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ไม่มีข้อตกลงให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1ทราบคำบอกกล่าวของโจทก์ที่ไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า มีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์มีกำหนด 12 ปี โดยจำเลยที่ 1 ยกบ้านให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ และจำเลยที่ 1 จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันอีกไม่ได้
จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีหลักฐานการเช่า และไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินพิพาท โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ออกไปจากที่พิพาทแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ยอมออก จึงเป็นการอยู่โดยละเมิด