พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7927/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรม ศาลพิจารณาการเพิกถอนได้เมื่อผู้ครอบครองมีสิทธิจดทะเบียนก่อน
พันตำรวจเอก ป.ได้ยกที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของตนให้โจทก์ และโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน 10 ปีแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ พันตำรวจเอก ป.ได้คัดค้าน แม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนและมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พันตำรวจเอก ป.ได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้
คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2535 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 สิงหาคม 2535 จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226
คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2535 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 สิงหาคม 2535 จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7169/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท: สิทธิครอบครองเดิม, การครอบครองปรปักษ์, และหลักฐานการครอบครอง
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ยอมรับว่าต.ครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วต้องฟังว่า ต.ครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปีแล้วนั้นตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ได้ความเพียงแต่ว่าเมื่อ 20 ปีมาแล้ว ต.เคยมาขออนุญาตมารดาโจทก์ปลูกตะไคร้กล้วยเท่านั้นซึ่งเท่ากับว่าต.เคยครอบครองที่ดินพิพาทในนามของมารดาโจทก์เท่านั้น ไม่ใช่ครอบครองเพื่อตนเองเกินกว่า 1 ปี ที่จำเลยฎีกาว่าควรนำข้อเท็จจริงที่โจทก์ยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกมาวินิจฉัยด้วยนั้น แม้จะมีการส่งเอกสารดังกล่าวเข้าสู่สำนวนแล้ว แต่จำเลยก็มิได้นำสืบอ้างถึงเพื่อให้เข้าสู้กระบวนการพิจารณาของศาล อีกทั้งจำเลยมิได้เสียค่าอ้างเอกสารดังกล่าวด้วย จึงไม่อาจนำข้อความในเอกสารดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยได้ จำเลยให้การว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลยเมื่อบิดามารดาตาย จำเลยก็ได้ครอบครองต่อมาโดยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375ได้แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7158/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดมูลค่าทุนทรัพย์ในคดีแบ่งที่ดินพิพาท โดยอ้างอิงสัดส่วนการถือครอง
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ5 ไร่ 85 ตารางวา เท่า ๆ กัน จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวที่พิพาททั้งแปลงราคา 196,375 บาท โดยโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยจะได้รับส่วนแบ่งคนละ 1 ส่วน ดังนั้นที่พิพาทที่โจทก์ทั้งสี่จะได้รับตามฟ้องมีราคารวม 157,100 บาทซึ่งจำเลยอุทธรณ์ว่าเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว จึงไม่อาจแยกคิดทุนทรัพย์แต่ละส่วนตามที่โจทก์ทั้งสี่ขอมาได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ 157,100 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7015/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกัน และสิทธิการฟ้องเรียกคืนการครอบครอง
ทั้งโจทก์และจำเลยต่างได้ครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปรากฏในแผนที่พิพาท ส่วนฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่เท่าใด และฝ่ายใดครอบครองมาก่อนกันอันจะทำให้ฟังได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทนั้นปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีบ้านอยู่ในที่พิพาท อีกทั้งพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายไม่อาจรับฟังได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่เพียงฝ่ายเดียว และฟังไม่ได้ว่ามีการครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนในส่วนไหนเท่าใด จึงควรฟังว่าโจทก์และฝ่ายจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยกันและต่างมีส่วนในที่พิพาทเท่า ๆ กัน แม้ในวันที่16 กรกฎาคม 2533 จำเลยได้นำรถตักดินเข้าไปตักดินในที่พิพาทกั้นคันดินเพื่อทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง อันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้คัดค้านทันทีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2534เพื่อเรียกคืนการครอบครองภายใน 1 ปี สิทธิการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ยังไม่ขาดไป และได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินในส่วนที่ไม่ได้โต้แย้งกันซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่พิพาท จึงเห็นควรให้โจทก์ได้ส่วนแบ่งในที่พิพาททางด้านทิศตะวันออก โดยแบ่งเนื้อที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน และให้โจทก์มีสิทธิในที่พิพาททางด้านตะวันออก ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7015/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกัน การแบ่งแยกที่ดิน และสิทธิการครอบครอง
ทั้งโจทก์และจำเลยต่างได้ครอบครองที่ดินในบริเวณที่ปรากฏในแผนที่พิพาทส่วนฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่เท่าใดและฝ่ายใดครอบครองมาก่อนกันอันจะทำให้ฟังได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทนั้นปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีบ้านอยู่ในที่พิพาทอีกทั้งพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายไม่อาจรับฟังได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่เพียงฝ่ายเดียวและฟังไม่ได้ว่ามีการครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนในส่วนไหนเท่าใดจึงควรฟังว่าโจทก์และฝ่ายจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยกันและต่างมีส่วนในที่พิพาทเท่าๆกันแม้ในวันที่16กรกฎาคม2533จำเลยได้นำรถตักดินเข้าไปตักดินในที่พิพาทกั้นคันดินเพื่อทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งอันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่โจทก์ก็ได้คัดค้านทันที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่25มีนาคม2534เพื่อเรียกคืนการครอบครองภายใน1ปีสิทธิการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ยังไม่ขาดไปและได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินในส่วนที่ไม่ได้โต้แย้งกันซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่พิพาทจึงเห็นควรให้โจทก์ได้ส่วนแบ่งในที่พิพาททางด้านทิศตะวันออกโดยแบ่งเนื้อที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันและให้โจทก์มีสิทธิในที่พิพาททางด้านตะวันออกห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6645/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท: การซื้อขายจากผู้ครอบครองจริง vs. โฉนดที่ดินที่ไม่ถูกต้อง
ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของ พ.ที่ขายให้แก่โจทก์หรือไม่หากไม่ใช่โจทก์ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ในข้อนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของ พ. ซึ่งขายให้แก่โจทก์ และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งมา ศาลฎีกาก็สามารถฟังข้อเท็จจริงใหม่ที่ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อปลายปี 2521 ว.เจ้าของที่ดินพิพาทได้บอกขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ก่อนบอกขาย ว.ได้มาดูแลที่ดินพิพาทโดยนำต้นไม้มาปลูกประมาณเดือนละ 2 ครั้ง จำเลยทั้งสองจึงร่วมกันซื้อมาและใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย หลังจากนั้นจึงทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นโฉนดเลขที่ 23587 โดยมีชื่อ พ. เป็นเจ้าของ ดังนี้ จำเลยทั้งสองมีเจตนาจะซื้อที่ดินพิพาทมาจากว.ซึ่งในขณะนั้นว.ได้ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าที่ดินแปลงตามหน้าโฉนดเลขที่ 23586 ที่จดทะเบียนโอนต่อกัน จึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 23586 แต่อย่างใด และเมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของ ว.ไม่ใช่ของพ.แม้ที่ดินพิพาทจะมีชื่อพ.ในโฉนดดังกล่าวก็หาทำให้ พ. อ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งพ. มิได้มีเจตนารับโอนหาได้ไม่และการที่โจทก์รับโอนโฉนดต่อมาจาก พ. โจทก์ก็จะอ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ได้เช่นกัน ที่ดินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองด้วยการซื้อมาจาก ว. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์และจำเลยทั้งสองจะว่ากล่าวเป็นคดีเรื่องใหม่และกรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 ก็มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเข้ามาเป็นคู่ความในคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง กรณีสิทธิในที่ดินพิพาทไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขออ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ผ. บิดาผู้วายชนม์ของผู้ร้องสอดไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์เป็นการสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ของผู้อื่นโดยมิชอบและเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับการรับรอง และคุ้มครองมิให้โจทก์เข้ามาก้าวล่วงสิทธิของผู้ร้องสอด โดยขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามและขอให้ ยกฟ้องโจทก์ ดังนี้ คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ได้กล่าวอ้างถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเลยว่า ผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียอย่างไรบ้าง และไม่ปรากฏจากคำร้องว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่โจทก์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาทหรือไม่ ทั้งไม่มีคำขอบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิมาด้วย การฟ้องคดีของโจทก์จึงไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องสอดหากจะพึงมี คำร้องของผู้ร้องสอดจึงยังไม่มีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ร้องสอดในคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง: ต้องแสดงความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิในที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขออ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของผ. บิดาผู้วายชนม์ของผู้ร้องสอดไม่ใช่ของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆในที่ดินพิพาทฟ้องโจทก์เป็นการสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบและเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อให้ได้รับการรับรองและคุ้มครองมิให้โจทก์เข้ามาก้าวล่วงสิทธิของผู้ร้องสอดโดยขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามและขอให้ยกฟ้องโจทก์ดังนี้คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ได้กล่าวอ้างถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทเลยว่าผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียอย่างไรบ้างและไม่ปรากฏจากคำร้องว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่โจทก์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาทหรือไม่ทั้งไม่มีคำบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิมาด้วยการฟ้องคดีของโจทก์จึงไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องสอดหากจะพึงมีคำร้องของผู้ร้องสอดจึงยังไม่มีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6418/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินค่าที่ดินพิพาทกรณีถูกรุกล้ำและสูญเสียประโยชน์ใช้สอย โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและอนาคต
ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7.9 ตารางวา แม้มีราคาประเมินตารางวาละ 750 บาท แต่จำเลยได้ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์บนที่ดินพิพาทติดกับร้านค้าของจำเลย แสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทอยู่ในที่เจริญ หากจำเลยไม่ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์รุกล้ำ โจทก์อาจนำที่ดินพิพาทไปปลูกสร้างอาคารให้เช่าหรือปลูกอาคารพาณิชย์หาประโยชน์ได้ ทั้งสภาพของโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์ดังกล่าวเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีสภาพมั่นคงแข็งแรงสามารถใช้งานได้ 10 ถึง 20 ปี กว่าจะสลายไปตามสภาพ ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์ไม่ได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นอย่างมาก แม้ราคาที่ดินหากซื้อขายกันในขณะนี้จะมีราคาต่ำกว่าค่าใช้ที่ดินที่ศาลกำหนดให้ แต่หากพิจารณาถึงอนาคตแล้ว ราคาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้ใช้จำนวน 200,000 บาทนั้น จึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6175/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด & สิทธิครอบครอง: ศาลยืนตามสิทธิผู้ซื้อ แม้จำเลยอ้างเป็นเจ้าของ
โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลปรากฎว่าจำเลยอยู่ในบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวและอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแต่จำเลยไม่ได้ให้การกล่าวอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือเป็นไปโดยไม่ชอบอย่างไรและมิได้ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตหรือไม่กรณีต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1330สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดจึงยังคงมีอยู่แม้จำเลยจะนำสืบว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยมาเป็นเวลากว่า40ปีแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยชนะคดีได้ โจทก์ฟ้องว่าได้ให้ว. และจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านจำเลยคงให้การเพียงว่าจำเลยอยู่ในที่ดินเป็นเวลาเกินกว่า10ปีมิได้อาศัยสิทธิผู้ใดโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน1ปีนับแต่โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินจึงขาดสิทธิครอบครองคำให้การจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแต่จำเลยฎีกาในเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เป็นการนอกเหนือจากที่จำเลยให้การไว้และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย