พบผลลัพธ์ทั้งหมด 233 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: เลือกใช้บทลงโทษเบากว่าเมื่อกฎหมายใหม่ไม่ถือเป็นเหตุฉกรรจ์
เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คน สมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา ม.335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 294 (4) ไม่ได้ (เทียบฎีกาที่ 535/2500)
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงบทกฎหมายโทษอาญาหลังการแก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบก: ศาลยังคงลงโทษได้ตามบทที่แก้ไข แม้ฟ้องอ้างบทเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทและหยุดรถในที่คับขัน ตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 4,29,66. แต่ปรากฏว่ามาตรา 66 นี้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2481 มาตรา 4 เสียแล้ว แม้โจทก์จะมิได้อ้างถึงกฎหมายปี พ.ศ.2481 ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียหายเสียเปรียบในเชิงคดี และจะถือว่าโจทก์ฟ้องความมิได้อ้างบทก็ไม่ได้ เพราะโจทก์อ้างไว้แล้วแต่ไม่ถูกบท โดยบทที่อ้างได้มีการเปลี่ยนแปลงให้อำนาจเจ้าพนักงานมากขึ้นเท่านั้น ส่วนโทษปรับมิได้เปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดเจ้าพนักงาน: การกระทำนอกหน้าที่และบทลงโทษสมรู้ร่วมคิด
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอยู่ในตำบลหนึ่ง เมื่อได้ความว่าสมคบกับผู้ใหญ่บ้านตำบลอื่นกระทำผิดในหมู่บ้านอื่นและไม่ปรากฏว่าผู้อยู่เหนืออำนาจได้สั่งให้จำเลยกระทำดังนี้ สำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่เรียกว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เพราะการกระทำของจำเลยเป็นการนอกหน้าที่ จะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นเจ้าพนักงานสมคบกันกระทำผิดตาม มาตรา 137,63 ไม่ได้ ลงได้แต่เพียงสมรู้ตาม มาตรา137,65 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1184-1185/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลือกใช้บทลงโทษที่เบากว่าเดิมได้ หากมีกฎหมายหลายบทบัญญัติครอบคลุมความผิดเดียวกัน และศาลใช้ดุลพินิจลงโทษ
โทษตาม กฎหมายลักษณะอาญามี 3 สถาน สถานหนึ่งปรับไม่เกิน 50 บาท สถานหนึ่งจำไม่เกิน 10 วัน อีกสถานหนึ่งทั้งปรับทั้งจำแต่โทษตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดเดียวกันนั้นมีแต่โทษปรับสถานเดียว ไม่เกิน500 บาท เช่นนี้ ต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญาบังคับแก่คดี เพราะถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย และในคดีนี้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา ปรับ 50 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 535/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักปศุสัตว์: การดูโคให้แทนการมอบหมาย ไม่เป็นความยักยอก ใช้บทลงโทษตามมาตรา 293
โคของผู้เสียหายติดเข้าไปอยู่ในฝูงโคของจำเลย แยกไม่ออก ผู้เสียหายจึงสั่งจำเลยขอให้ดูไว้ด้วย
การพูดเช่นนี้จะถือว่าเป็นการรับมอบหมาย อันจะกลายเป็นผิดฐานยักยอกยังไม่ได้
ที่สุดเมื่อจำเลยกับพวกพาเอาโคของผู้เสียหายไป จึงมีความผิดฐานลักปศุสัตว์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294
แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายที่ใช้อยู่บัดนี้ ไม่มีบัญญัติถึงการลักปศุสัตว์และสัตว์พาหนะโดยเฉพาะเช่นในมาตรา 294 (ก.ม.อาญา) จึงต้องใช้มาตรา 293 (ก.ม.อาญา) ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าเป็นบทลงโทษจำเลย.
การพูดเช่นนี้จะถือว่าเป็นการรับมอบหมาย อันจะกลายเป็นผิดฐานยักยอกยังไม่ได้
ที่สุดเมื่อจำเลยกับพวกพาเอาโคของผู้เสียหายไป จึงมีความผิดฐานลักปศุสัตว์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294
แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายที่ใช้อยู่บัดนี้ ไม่มีบัญญัติถึงการลักปศุสัตว์และสัตว์พาหนะโดยเฉพาะเช่นในมาตรา 294 (ก.ม.อาญา) จึงต้องใช้มาตรา 293 (ก.ม.อาญา) ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าเป็นบทลงโทษจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาญาใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลย: ยักยอกทรัพย์
ประมวลกฎหมายอาญา ม.352 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดยิ่งกว่ากฎหมายลักษณะอาญา มาตรา314 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2,000 บาท เพราะอาจลงโทษได้สามสถาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาญาในอดีตกับความผิดที่กระทำก่อนมีประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยกระทำชำเรา ด.ญ. อายุต่ำกว่าสิบสามขวบก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 244 วรรค 2 จำคุก 5 ปี ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาซึ่งตัดสินหลังวันให้ประมวลกฎหมายอาญาฟังว่าจำเลยทำผิดและวางโทษจำคุกจำเลยเท่าเดิม คือ 5 ปี ศาลฎีกาก็คงใช้กฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำผิดเป็นบทลงโทษ (เพราะกำหนดโทษที่วางในคดีนี้ยังไม่เข้ากรณีที่จะพึงใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 280(1) โดยยังไม่มีข้อที่จะยกส่วนที่เป็นคุณของกฎหมายใหม่มาใช้)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำผิดก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ศาลฎีกายืนตามบทลงโทษเดิม
การชิงทรัพย์โดยมีอาวุธและร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก่อนวันที่ ประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับ(1 มกราคม 2500) และศาลล่างวางบทลงโทษตามกฎหมาย ลักษณะอาญา มาตร 299 มีกำหนด 3 ปีนั้น เมื่อศาลฎีกาเห็นควรลงโทษเท่าเดิม ไม่มีเหตุที่จะใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรค 2 โดยอ้างว่าเป็นคุณแก่จำเลย.
(ประใหญ่ครั้งที่ 3)
(ประใหญ่ครั้งที่ 3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์-ขาดลายมือชื่อผู้เรียง-บทลงโทษไม้หวงห้าม-ศาลฎีกายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษฐานปาณีตาม ก.ม.อาญา ม.59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ ๆ มิได้อ้าง พ.ร.บ.ป่ไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 คงอ้างมาแต่ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราใน ก.ม.ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 ได้ถูกยกเลิกตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 แล้วเมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง ม.69 และ 73 แห่งพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรรณ์ตาม ป.วิ.อาญา ม.158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ก.ม.หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริง จึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตาม ป.วิ.อาญา ม.158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ 1 บาท คืนให้จำเลยนั้น กรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษา เมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ๆ จึงไม่วินิจฉัยให้.
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ ๆ มิได้อ้าง พ.ร.บ.ป่ไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 คงอ้างมาแต่ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราใน ก.ม.ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 ได้ถูกยกเลิกตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 แล้วเมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง ม.69 และ 73 แห่งพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรรณ์ตาม ป.วิ.อาญา ม.158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ก.ม.หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริง จึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตาม ป.วิ.อาญา ม.158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ 1 บาท คืนให้จำเลยนั้น กรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษา เมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ๆ จึงไม่วินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงบทลงโทษอาญาและขอบเขตการฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม กฎหมายอาญา มาตรา293,294,295,74 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญามาตรา 294 วรรคสุดท้าย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตาม มาตรา 295 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 295 ตามที่โจทก์ขอจำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้ไม่ต้องห้ามเพราะศาลอุทธรณ์แก้บทลงโทษและแก้โทษจำเลย เป็นการแก้มาก