พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8247/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทเรื่องครอบครองที่ดินสำคัญกว่าสัญญาซื้อขายที่ไม่เป็นหนังสือ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องโมฆะ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากล. สามีจำเลยโดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งนี้เพราะโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเกินกว่า20ปีแล้วขอให้จำเลยไปจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากล. จำเลยล. สามีจำเลยและบ. บุตรจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาขอให้ศาลยกฟ้องดังนี้จะเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยยกประเด็นเรื่องการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้เป็นสาระสำคัญส่วนเรื่องสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นโจทก์กล่าวอ้างเพียงให้เห็นว่าล. สามีจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองเท่านั้นประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดังนั้นที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าคดีมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะการซื้อขายเท่านั้นศาลอุทธรณ์ยกเรื่องสิทธิครอบครองขึ้นวินิจฉัยไม่ชอบนั้นในครั้งแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าวโจทก์จำเลยต่างไม่ฎีกาปัญหาว่าคดีมีประเด็นว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจำเลยจะยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาในชั้นนี้อีกหาได้ไม่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7846/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นอายุความต้องยกขึ้นคัดค้านตั้งแต่ชั้นชี้สองสถาน หากไม่ทำ ศาลไม่ต้องวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความไว้ในชั้นชี้สองสถานซึ่งจำเลยก็มิได้แถลงคัดค้านด้วยวาจาต่อศาลชั้นต้นในขณะนั้น และมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดประเด็นเมื่อจำเลยมิได้คัดค้านดังกล่าว ประเด็นข้อพิพาทจึงต้องเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยจะยกขึ้นคัดค้านว่ายังมีประเด็นข้อพิพาทอื่นอีกในชั้นอุทธรณ์และฎีกาไม่ได้
ปัญหาเรื่องอายุความในทางแพ่งเป็นข้อที่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ปัญหาเรื่องอายุความในทางแพ่งเป็นข้อที่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7114/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตประเด็นข้อพิพาท: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปแล้ว
เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากโจทก์และประพฤติผิดสัญญาหรือไม่ ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญาเช่าระหว่างบริษัท อ.กับ ส.สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ และผู้ใดเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงของจำเลยอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์ แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7114/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นเจ้าหนี้ที่แท้จริง เน้นประเด็นสัญญาเช่าระหว่างโจทก์-จำเลย
เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากโจทก์และประพฤติผิดสัญญาหรือไม่ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญาเช่าระหว่างบริษัทอ.กับส.สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่และผู้ใดเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงของจำเลยอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทเป็นการมิชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6860/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นทางสาธารณะและการละเมิด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่มิได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
แม้จำเลยได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางสาธารณะตัดผ่าน และโจทก์ทั้งหกไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ แต่คำแก้อุทธรณ์ได้ยื่นเข้ามาเมื่อพ้นกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นเพียงคำแถลงการณ์เท่านั้น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวคดีจึงมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหกแต่เพียงว่า ทางสาธารณะพิพาทกว้างเท่าใดและโจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษหรือไม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ที่ดินของจำเลยมีทางสาธารณะตัดผ่านหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบและถือว่าประเด็นดังกล่าวเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวต่อมาก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ทางสาธารณะที่พิพาทที่ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะจากหมู่บ้านออกสู่ถนนสายธนบุรี - ปากท่อ โจทก์ทั้งหกซึ่งมีที่ดินและบ้านพักอาศัยอยู่ในท้องที่หมู่บ้านดังกล่าวเคยใช้ทางสาธารณะที่พิพาทอยู่แต่เดิม การที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางสาธารณะที่พิพาทย่อมทำให้โจทก์ทั้งหกเสียหายไม่สามารถใช้ทางสาธารณะที่พิพาทเป็นทางเข้าออกได้ การกระทำของจำเลยจึงทำให้โจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษและเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งหก โจทก์ทั้งหกจึงมีอำนาจฟ้อง
ทางสาธารณะที่พิพาทที่ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะจากหมู่บ้านออกสู่ถนนสายธนบุรี - ปากท่อ โจทก์ทั้งหกซึ่งมีที่ดินและบ้านพักอาศัยอยู่ในท้องที่หมู่บ้านดังกล่าวเคยใช้ทางสาธารณะที่พิพาทอยู่แต่เดิม การที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางสาธารณะที่พิพาทย่อมทำให้โจทก์ทั้งหกเสียหายไม่สามารถใช้ทางสาธารณะที่พิพาทเป็นทางเข้าออกได้ การกระทำของจำเลยจึงทำให้โจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษและเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งหก โจทก์ทั้งหกจึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6719/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทต้องสอดคล้องกับคำฟ้อง การฟ้องฐานนายจ้างต้องระบุชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ไม่ได้บรรยายฟ้องให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะตัวการ ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่แสดงให้เห็นชัดขึ้นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 1 ไม่ว่าในฐานะใด อันเป็นการปฏิเสธฟ้องของโจทก์เท่านั้น ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ด้วยนั้น จึงเป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ไม่ถูกต้องตามคำฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6555/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทนอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นกำหนด และการหักชำระหนี้ตาม ป.พ.พ.
แม้จำเลยที่ 1 จะให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1และ จ.2 เป็นเอกสารปลอมก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยที่ 1 สละประเด็นดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้จึงไม่ชอบ
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวนเงิน60,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาทดังนั้น การที่โจทก์เบิกเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 หักชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์บางส่วนแล้วนั้น ต้องถือว่าโจทก์ได้หักชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาท ซึ่งไม่มีประกันเพื่อเป็นการปลดเปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาปลดเปลื้องหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งแรกจำนวนเงิน 60,000 บาท ที่มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันได้
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวนเงิน60,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาทดังนั้น การที่โจทก์เบิกเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 หักชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์บางส่วนแล้วนั้น ต้องถือว่าโจทก์ได้หักชำระหนี้รายที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งที่สอง จำนวนเงิน 20,000 บาท ซึ่งไม่มีประกันเพื่อเป็นการปลดเปลื้องไปก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาปลดเปลื้องหนี้ที่จำเลยที่ 1 กู้จากโจทก์ครั้งแรกจำนวนเงิน 60,000 บาท ที่มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและประเด็นข้อพิพาทไม่ชัดเจน ทำให้ไม่เกิดประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน โดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริง แล้วกลับให้การอีกว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจาก พ.แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบ โดยเปิดเผยเกิน 10 ปี จากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของ พ.หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลัก จึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่า คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจาก ส.และ พ.ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริง ดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่า จำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จาก พ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้อง ซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 นั่นเอง จึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและประเด็นการครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายืนคำพิพากษาเดิม
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันโดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริงแล้วกลับให้การอีกว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจากพ. แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบโดยเปิดเผยเกิน10ปีจากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของพ. หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็นดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจากส. และพ.ตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ. และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้องซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533นั่นเองจึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองและมาตรา172วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5468/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ไม่ถือเป็นฟ้องแย้งมีเงื่อนไข หากเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างและต่อเติมอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่145ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำเลยที่1เป็นความกว้างประมาณ50เซนติเมตรยาวตลอดแนวที่ดินโจทก์ประมาณ16เมตรขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมรุกล้ำออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์จำเลยที่2ให้การต่อสู้ว่าอาคารที่จำเลยที่2ปลูกสร้างนั้นมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่อย่างใดหากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยที่2ก็ครอบครองโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี2522จนถึงปัจจุบันเกินกว่า10ปีจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่2โดยการครอบครองแล้วขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่145ด้านที่ติดกับที่ดินจำเลยที่1กว้างประมาณ50เซนติเมตรยาวประมาณ50เมตรตลอดแนวที่ติดกับที่ดินจำเลยที่1เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่2โดยการครอบครองคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยที่2เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหากคดีฟังได้ว่าจำเลยที่2เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองจำเลยที่2ก็ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่2ได้ฟ้องแย้งของจำเลยที่2จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมโดยตรงหาใช่ฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขแต่อย่างใดไม่