คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้เสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,243 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8408/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผิดพลาดชื่อผู้เสียหายในฟ้อง และการใช้หนังสือมอบอำนาจที่ไม่ติดอากรแสตมป์ในคดีอาญา
แม้โจทก์บรรยายฟ้องผิดไปว่า บริษัทฮ. เป็นผู้เสียหายก็ตามแต่ทางพิจารณาได้ความว่า บริษัทส.เป็นผู้เสียหายการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นผัดฟ้องฝากขังก็ระบุชื่อผู้เสียหายถูกต้องมาแต่แรก ดังนี้ ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย และข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้เพราะไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจึงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 192 วรรคสองกรณีมิใช่เป็นเรื่องทางพิจารณาได้ความแตกต่างในสาระสำคัญที่ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง ตราสารใดที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 นั้น จะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย ดังนี้การที่ผู้เสียหายทำหนังสือให้ ฐ. ผู้รับมอบอำนาจไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ แม้หนังสือดังกล่าวจะปิดอากรแสตมป์ 10 บาท ก็ตาม แต่เมื่อไปแจ้งความตามหนังสือดังกล่าวแล้ว กรณีเป็นการมอบอำนาจให้ร้องทุกข์และเมื่อมีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6897/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจร้องทุกข์ในคดีอาญา: เงินจากการขายสินค้าตกเป็นของผู้เสียหาย แม้มีการแจ้งความฉ้อโกงคู่ขนาน
ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วม มีหน้าที่ควบคุมดูแลการรับจ่ายเงินและเก็บรักษาเงินของผู้เสียหาย จำเลยในฐานะผู้จัดการของโจทก์ร่วมได้ขายหอมแดงให้แก่บริษัท ก. และจำเลยได้รับเงินจากบริษัท ก. 2 จำนวน เงินนั้นย่อมตกเป็นของโจทก์ร่วมแล้ว ส่วนผู้ซื้อสินค้าเมื่อได้ชำระหนี้ค่าสินค้าแล้ว จึงหาใช่เจ้าของเงินนั้นต่อไป การที่จำเลยไม่นำเงินทั้ง 2 จำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมตามหน้าที่ แต่นำเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลยและเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ร่วมนั้น การที่จำเลยครอบครองเงินของโจทก์ร่วมไว้แล้วไม่ส่งมอบโดยนำเข้าฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ร่วมตามหน้าที่จึงเป็นการกระทำความผิดฐานยักยอก โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงมีอำนาจร้องทุกข์ ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ส่วนการที่บริษัท ก. จะได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ ส. กรรมการของบริษัท ก. ซึ่งเป็นผู้ส่งมอบเงินของบริษัท ก. แก่จำเลยเพื่อชำระค่าสินค้าที่บริษัท ก. ซื้อจากโจทก์ร่วมในข้อหาฉ้อโกงเงินของบริษัท ก. ซึ่งเป็นเงินจำนวนเดียวกันกับเงินในคดีนี้หรือไม่นั้น ไม่ทำให้ฐานะของโจทก์ร่วมซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและคำเบิกความสอดคล้อง, การยืนยันตัวผู้ต้องหาจากผู้เสียหาย
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนต่างไม่เคยรู้จักจำเลยและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะให้การปรักปรำจำเลยทั้งจับจำเลยกับพวกได้ในเวลาใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุลักษณะของจำเลยกับพวกสีเสื้อผ้าหมวกที่พบอยู่กับจำเลยล้วนตรงกับที่ผู้เสียหายและธ.ได้แจ้งความไว้สภาพรถที่จำเลยขับขี่ตรงกับสภาพรถที่ผู้เสียหายและธ. ได้แจ้งไว้ด้วยแม้จำเลยนำสืบอ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายชี้ตัวหลายครั้งแต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายตอบโจทก์ถามติงว่าครั้งแรกที่ไปดูเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าให้ไปดูก่อนยังไม่ต้องบอกว่าใช่หรือไม่เพราะไม่ต้องการให้ชี้ต่อหน้าคนร้ายแต่มาบอกภายหลังดูคนร้ายเสร็จแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนประสงค์ให้ผู้เสียหายมีความแน่ใจเสียก่อนจึงค่อยชี้ตัวจำเลยหาใช่เรื่องที่ผู้เสียหายเกิดความลังเลใจแต่ประการใดไม่พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ได้ร่วมกระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6604/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฉ้อโกงต้องมีตั้งแต่ต้น แม้พัฒนาที่ดินไม่เสร็จก็ไม่ถึงขั้นฉ้อโกงหากมีการดำเนินการบางส่วนและผู้เสียหายพอใจ
การกระทำอันเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่ง ของความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ก็คือการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และการกระทำดังกล่าวผู้กระทำจะต้องมีเจตนามาตั้งแต่ต้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคหนึ่ง ได้ความว่าโจทก์ร่วมซื้อที่ดินเนื้อที่ 500 ไร่ แล้วพาจำเลยไปดูที่ดินดังกล่าวเพื่อปรึกษาว่าจะพัฒนาที่ดินอย่างไร หลังจากนั้นจำเลยมาเสนอให้โจทก์ร่วมปลูกมันสำปะหลังหรือทำการเกษตรแบบผสมซึ่งโจทก์ร่วมเห็นชอบด้วยจำเลยบอกว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับ พื้นที่ โจทก์ร่วมตกลงให้จำเลยดำเนินการโดยจ่ายเงินให้จำเลยเป็นค่าใช้จ่ายหลังจากที่ได้จ่ายเงินครั้งที่สามแล้วโจทก์ร่วมไปดูที่ดินพบว่ามีการปรับพื้นที่ไปประมาณ 5 ถึง 6 ไร่ซึ่งโจทก์ร่วมตรวจดูมิได้คัดค้านแต่ประการใด ตรงกันข้ามกลับจ่ายค่าพัฒนาที่ดินให้จำเลยอีกถึง 85,000 บาท แสดงว่าโจทก์ร่วมพอใจในการพัฒนาที่ดินของจำเลย แม้ต่อมาจำเลยจะไม่ได้ดำเนินการพัฒนาที่ดินต่อไปจนเสร็จสิ้นซึ่งจะต้องด้วยเหตุผลประการใดก็ตามกรณีจึงยังฟังไม่ได้โดยแน่ชัดว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์ร่วมมาตั้งแต่ต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5778/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องทุกข์กล่าวโทษทางอาญา: การพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคำร้องทุกข์และการนับอายุความ
การที่ ส. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์พบพนักงานสอบสวน แล้วแจ้งความว่าผู้แจ้งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทโจทก์ มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามที่พนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีนั้น เป็นการเพียงพอที่จะฟังได้แล้วว่าโจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยว่ากระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ร้องทุกข์ภายหลังคดีขาดอายุความคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5737/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องอาญา: ผู้ค้ำประกันไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แม้ถูกเช็คเด้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ส่วนจำเลยมิได้แก้อุทธรณ์ จะถือว่าจำเลยไม่ได้ต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ต้องรับฟังข้ออุทธรณ์ของโจทก์ฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยหาได้ไม่ เพราะไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติไว้เช่นนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐาน การยืนยันตัวผู้เสียหาย และความต่อเนื่องของการกระทำผิด
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายรู้จักจำเลย เคยพูดกับจำเลย จำเลยเคยมาขอน้ำดื่มที่บ้านพักผู้เสียหาย และนับแต่จำเลยเข้ามารัดคอผู้เสียหายจนกระทั่งลากคอไปบริเวณลานข้าวเปลือกแล้วเดินหนีใช้เวลาประมาณ 20 นาที อันเป็นระยะเวลานานพอที่ผู้เสียหายจะจำหน้าจำเลยได้เพราะจำเลยได้กระทำผิดในลักษณะประชิดตัวผู้เสียหายโดยตลอดแม้ผู้เสียหายเป็นคนสายตาสั้นต้องสวมแว่นตาก็หาเป็นเหตุให้ผู้เสียหายจำจำเลยผิดคนไปได้ไม่ ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยได้พูดขู่มิให้ผู้เสียหายส่งเสียงดังมิฉะนั้นจะใช้มีดแทง ย่อมทำให้ผู้เสียหายจำเสียงพูดของจำเลยได้ และตอนผู้เสียหายไปแจ้งความก็ระบุว่ารู้จักตัวจำเลยโดยเป็นคนงานเก็บขยะของสุขาภิบาลอำเภอโพธิ์ทอง กับได้บอกลักษณะรูปร่างของจำเลยว่ารูปร่างเตี้ย นอกจากนี้เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจนำตัวจำเลยกับพวกรวม5 คน ซึ่งเป็นคนงานเก็บขยะไปให้ผู้เสียหายชี้ตัว ผู้เสียหายก็ชี้ว่าจำเลยเป็นคนที่ทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ลังเลใจ เมื่อผู้เสียหายไม่มีสาเหตุกับจำเลยจึงไม่มีเหตุจะระแวงว่าผู้เสียหายกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยให้ได้รับโทษแต่อย่างใด ส่วนเรื่องที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยยอมรับผิดและจะให้ค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท นั้น แม้พยานโจทก์จะเบิกความไม่ตรงกับผู้เสียหายก็ไม่เป็นข้อสาระสำคัญ เพราะการเจรจาจะชดใช้ค่าเสียหายให้นั้นเป็นเรื่องที่คู่กรณีพยายามจะออมชอมให้ยุติโดยความพอใจของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ผู้เสียหายเริ่มก่อเหตุ ศาลไม่ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่า และท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กัน และเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลย ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้ แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย
ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุต ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวา ราวนมซ้าย และชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่ง ซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวน-ฟ้องคดีลักทรัพย์: การขยายผลไปยังทรัพย์สินของผู้เสียหายอื่น
ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 335 ไม่ใช่เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความกันได้ ไม่จำต้องร้องทุกข์ ดังนี้ เมื่อพนักงานสอบสวนทราบว่ามีการกระทำความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการแจ้งความร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่ 1 ว่าคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านและรายการทรัพย์สินที่ถูกลักไปมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่ 2 รวมอยู่ด้วย พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว พนักงานอัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีลักทรัพย์เมื่อทรัพย์สินของผู้เสียหายหลายคนถูกลักไปพร้อมกัน แม้ผู้เสียหายบางรายไม่ได้แจ้งความ
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ไม่ใช่เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความกันได้ ไม่จำต้องร้องทุกข์ ดังนี้ เมื่อพนักงานสอบสวนทราบว่ามีการกระทำความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการแจ้งความร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่ 1 ว่าคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านและรายการทรัพย์สินที่ถูกลักไปมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่ 2 รวมอยู่ด้วย พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว พนักงานอัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่ 2
of 125