คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยายามฆ่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 869 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3342/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยให้การรับสารภาพ แต่พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษ ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกคนละ 4 เดือน ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยที่ 2 และปรับบทความผิดในความผิดที่ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามดังกล่าวให้ถูกต้องเท่านั้นจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนโดยสมัครใจจึงเป็นคำรับโดยชอบ ศาลรับฟังได้ แต่ลำพังเพียงคำรับสารภาพชั้นสอบสวนยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ต้องฟังพยานโจทก์อื่นประกอบต่อไปอีก จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถยนต์ของผู้เสียหายโดยมีเจตนาจะปล้นทรัพย์ และในขณะเดียวกันย่อมเล็งได้ว่าว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ผู้เสียหายได้ขับรถแล่นหนีไปเสียก่อนจึงไม่ได้รับอันตรายจากการปล้นทรัพย์ของจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามไม่สามารถเอาทรัพย์ใด ๆ ไปได้ จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์และความผิดฐานพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ด้วย ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำคุกจำเลยน้อยกว่าที่ถูกต้องแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความเสียหายร้ายแรงมีผลต่อการลงโทษฐานพยายามฆ่า หากไม่บรรยายฟ้องศาลต้องลงโทษเฉพาะเจตนาทำร้ายร่างกาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ศาลจึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 คงลงโทษได้เพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2649/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานอ่อนแอ ไม่พอรับฟังว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหาย แม้จะมีเหตุวิวาทและคำอาฆาต
พยานโจทก์เบิกความเพียงว่า เมื่อได้ยินเสียงแก๊ปปืนดังขึ้นได้หันไปทางเสียงนั้น แล้วเห็นจำเลยวิ่งหลบหนีไปโดยถือปืนไปด้วยโดยไม่เห็นว่า จำเลยใช้ปืนนั้นจ้องเล็งยิงผู้เสียหายหรือไม่ก่อนหน้านั้นจำเลยและผู้เสียหายทะเลาะกันแล้วได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยไม่พอใจที่ผู้เสียหายไม่ยกทรัพย์ให้จึงโกรธจะเผายุ้งข้าวแต่ผู้เสียหายเข้าห้ามไว้และเกิดการวิวาทชกต่อยกันขึ้น จำเลยจึงออกจากบ้านไปโดยกล่าวคำอาฆาตผู้เสียหายไว้ เช่นนี้ เหตุดังกล่าวไม่น่าถึงกับทำให้จำเลยคิดจะฆ่าผู้เสียหาย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งยิงผู้เสียหายแล้ว แต่กระสุนปืนไม่ลั่น กรณีย่อมไม่อาจรับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยได้ คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน โดยลำพังย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานประกอบเหตุการณ์ต่อเนื่องสอดคล้องกับคำรับสารภาพ ยืนยันความผิดฐานพยายามฆ่า
แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายและประจักษ์พยานมาเบิกความต่อศาล แต่เมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานแวดล้อมพฤติเหตุโดยตระหนักแล้ว พยานแวดล้อมเบิกความสอดคล้องต่อเนื่องกันสมด้วยเหตุผลประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์ย่อมรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินกว่ากรณีที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกัน และความผิดฐานพยายามฆ่า
คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา สุนัขในบ้านจำเลยเห่าจำเลยรู้สึกตัวลุกออกจากบ้านเห็นโจทก์ร่วม สำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย ซึ่งเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะป้องกันได้แต่การที่จำเลยคว้ามีดพร้าสำหรับดายหญ้ายาว110ซม. ฟันโจทก์ร่วมถูกที่ศีรษะ 2 แผล กระโหลกศีรษะแตกและถูกข้อศอกข้างละ 1 แผลโดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าโจทก์ร่วมมีอาวุธอะไร และจะได้กระทำการประทุษร้ายจำเลยอย่างไร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากยิงด้วยอาวุธปืนร้ายแรง แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
ความผิดฐานมีอาวุธปืน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคแรก จำคุก1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 7,72 วรรคสาม จำคุก 6 เดือน ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำคุก 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษเป็น มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยทั้งสองฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดทั้งสองฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยที่ 1 ซ้อนท้ายโดยจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนลูกซองสั้นติดตัวไป เมื่อพบผู้เสียหายทั้งสามกับพวกกำลังคุยกันอยู่ จำเลยที่ 1 ก็ยิงปืนไปที่ผู้เสียหายทั้งสาม อาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงถ้าหากยิงถูกอวัยวะสำคัญอาจถึงตายได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสาม จำเลยทั้งสองลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนถูกอวัยวะไม่สำคัญจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า, พยายามฆ่า, การป้องกันตัว, และฎีกาต้องห้าม: กรณีวิวาทและใช้อาวุธทำร้าย
จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าผู้เสียหายก่อน เมื่อผู้เสียหายเข้าไปสอบถามจำเลย จึงเกิดการโต้เถียงกัน หลังจากนั้นทั้งจำเลยและผู้เสียหายต่างใช้อาวุธเข้าทำร้ายกัน ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กับผู้เสียหาย การที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว จำเลยใช้มีดปลายแหลมใบมีดยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงผู้เสียหาย3 ที ถูกที่บริเวณทรวงอกด้านซ้าย 3 แห่ง บาดแผลทะลุเข้าช่องปอดด้านซ้ายทั้ง 3 แห่ง มีเลือดออกในช่องปอดต้องใส่สายระบายเลือดออกจากปอด ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาความผิดต่อชีวิตแต่ไม่มีหลักฐานการแจ้งข้อหาแก่จำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นเพียงการเถียงข้อเท็จจริงว่า พนักงานสอบสวนยังมิได้แจ้งข้อหาพยายามฆ่าแก่จำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมพยายามฆ่า: การปรึกษาหารือและไล่ติดตามผู้เสียหายบ่งชี้เจตนา
จำเลยที่ 2 รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวอยู่และได้มีการปรึกษาหารือกันก่อนตั้งแต่ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 ลุกขึ้นไปพูดซุบซิบกับจำเลยที่ 1 ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุประมาณ 2-3 ครั้งและเมื่อจำเลยทั้งสองหวนกลับมายังที่เกิดเหตุอีกเป็นครั้งที่สองปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนมาด้วย ซึ่งในขณะนั้นผู้เสียหายกับพวกยังคงยืนอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายกับพวกเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปในวัด จำเลยทั้งสองยังไล่ตามผู้เสียหายกับพวกไปอีกเล็กน้อย จำเลยที่ 1 ก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดแล้วจำเลยทั้งสองวิ่งหนีไปด้วยกัน ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้เป็นคนยิงผู้เสียหาย กรณีเช่นนี้ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: อาฆาต พฤติการณ์ทำร้าย และการรับสารภาพ
ก่อนคดีนี้จำเลยเคยบุกรุกเข้าทำร้ายผู้เสียหายแล้วถูกศาลพิพากษาลงโทษ จำเลยได้พูดอาฆาตผู้เสียหายว่าจะฆ่าผู้เสียหาย วันเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายจอดรถที่หน้าบ้าน จำเลยตรงเข้าทำร้ายผู้เสียหายทันทีพร้อมกับพูดว่าวันนี้กูจะฆ่ามึง โดยไม่มีการพูดจาอะไรกัน แสดงให้เห็นถึงมูลเหตุและการตระเตรียมของจำเลยว่าเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องย่อมรวมถึงรับในข้อไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พฤติการณ์ทำร้ายพร้อมคำขู่ แสดงเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุพยายามฆ่า
ก่อนเกิดเหตุจำเลยถือมีดอยู่ที่หน้าบ้านร้องตะโกนว่า วันนี้กูจะต้องฆ่าคนก่อนคดีนี้จำเลยเคยบุกรุกเข้าทำร้ายผู้เสียหายแล้วถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ และเมื่อจำเลยกลับไปบ้านได้พูดอาฆาตผู้เสียหายว่า ถ้าหมดระยะเวลาที่ศาลรอลงอาญาจำเลยจะมาฆ่าผู้เสียหาย นอกจากนี้พฤติการณ์ที่จำเลยตรงเข้าทำร้ายผู้เสียหายทันทีพร้อมกับพูดว่าวันนี้กูจะฆ่ามึงเมื่อผู้เสียหายจอดรถที่หน้าบ้านโดยไม่มีการพูดจาอะไรกัน แสดงให้เห็นถึงมูลเหตุและการตระเตรียมของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว.
of 87